วันอาทิตย์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

สมาชิกสัมพันธ์ประจำเดือน พฤศจิกายน-ธันวาคม ๒๕๕๘

ในท่ามกลางกระแสข่าวสารต่างๆที่มีในสังคม มีทั้งสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับบุคคลและสังคมในวงกว้างทุกระดับ ข่าวสารที่อยู่ในความสนใจของผู้คน มักจะเป็นข่าวที่เป็นความทุกข์ความเดือดร้อน ซึ่งเราอยู่ในสังคมย่อมต้องรับรู้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ควรปล่อยใจให้หลุดเข้าไปเป็นทุกข์ หดหู่กับสถานการณ์นั้นๆ เราควรรับรู้ตั้งสติมองให้เห็นถึงเหตุของสิ่งที่เกิดขึ้น  หาทางออกที่ควรจะเป็น เมื่อคิดได้รอบด้านแล้วก็ควรจะได้ลงมือทำในสิ่งที่สมควร ก็จะเป็นการสร้างเหตุปัจจัยที่ดี เพื่อแก้ปัญหาในสิ่งที่เกิดขึ้น
ข่าวสารที่เป็นของฝากให้กับสมาชิกในครั้งนี้ ขอเริ่มต้นจากข่าวดีที่องค์กรยูเนสโกได้ประกาศยกย่อง ดร.ป๋วย อึ๊งภากร เป็นบุคคลสำคัญของโลก ในโอกาสครบรอบ ๑๐๐ ปี ชาตกาลของ ดร.ป๋วย อึ๊งภากร จึงขอนำข้อคิดจากที่ท่านเคยแสดงไว้ในเรื่อง ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม, การทุจริตคอรัปชั่น, ประชาธรรม, การเริ่มนิสัยให้สินบน มาเป็นเครื่องเตือนสติแก่พวกเรา ถึงแม้เวลาจะผ่านมานาน แต่สิ่งที่ท่านได้ฝากไว้ยังมีคุณค่า สมควรที่เราจะนำไปปรับใช้ในชีวิต ………………. จากข่าวการเจ็บป่วยของคุณ ปอ - ทฤษฎี สหวงษ์ ได้ส่งผลเป็นปรากฎการณ์กระตุ้นเตือนให้มีการดูแลระมัดระวังเรื่องการระบาดของไข้เลือดออกอย่างกว้างขวาง ขอให้เราได้มารู้จักว่า เขามีอะไรดี จึงมีผู้ให้ความสนใจเขาเช่นนี้ ในบทสัมภาษณ์แนวคิดในการใช้ชีวิต "ผมจะทำทุกวันให้เหมือนเป็นวันสุดท้ายของชีวิต"   ………….. เพื่อเป็นการให้กำลังใจในยามที่สังคม มีภาวะที่หวั่นไหวต่อสถานการณ์ต่างๆในขณะนี้ การช่วยเหลือผู้อื่นเป็นสิ่งที่มีคุณค่า ที่เราควรกระตุ้นให้เกิดขึ้นจากตัวอย่าง การช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่หวังผลตอบแทน  ……………… จากเหตุการณ์สะเทือนขวัญคนทั่วโลก วิกฤตินี้ทำให้เราได้เห็นผู้คนที่มีวุฒิภาวะ มีมุมมองที่เป็นที่คาดหวังได้ต่ออนาคตที่ดีงาม เรื่องแรกเป็นบทสัมภาษณ์และการสนทนาระหว่างคุณพ่อและลูกชายชาวฝรั่งเศส ที่ได้ไปวางดอกไม้ระลึกถึงผู้เสียชีวิต "ถึงแม้พวกเขาจะมีปืน แต่เรามีดอกไม้" เป็นการการสนทนาที่ทำให้เราได้เห็นความงามของชีวิตที่ควรจะมี ซึ่งพ่อได้ถ่ายทอดให้กับลูก ................ เรื่องที่สอง เป็นคลิปบันทึกเสียงของคุณ Antonie Leiris  สามีชาวฝรั่งเศสผู้สูญเสียภรรยา  ผมจะไม่ให้ของกำนัลคุณเป็นความเกลียดชัง ที่ได้แสดงออกให้เห็นว่ายังมีบุคคลที่แสดงให้เห็นคุณธรรมที่อยู่เหนือกระแสของกิเลสที่กำลังท่วมท้นใมสังคม ด้วยการแสดงออกถึงเวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร................. จะนำข้อคิดเรื่อง  “ว่าด้วยเรื่องความเกลียดชัง” ของ คุณชาญชัย ปวงนิยม ที่เขียนขึ้นในท่ามกลางสถานการณ์ปัจจุบัน เพื่อให้ข้อคิดว่าเราควรจะทำอะไรได้
ท่านสมาชิกที่ประสงค์จะไปร่วม  กิจกรรมธรรมะหรรษาทอดผ้าป่าสามัคคีเพื่อการอนุรักษ์ป่า ที่จัดขึ้น ณ วัดป่ามหาวัน (ภูหลง) จ. ชัยภูมิ ในวันศุกร์ที่ ๘ - ๑๐ มกราคม ๒๕๕๙  ขอให้รีบติดต่อตามรายละเอียดที่ฝ่ายกิจกรรมพิเศษ ได้แจ้งในสมาชิกสัมพันธ์ฉบับนี้แล้ว
          หนังสือที่ทางกลุ่มฯมอบเป็นธรรมบรรณาการให้กับสมาชิกในครั้งนี้   เรื่อง  “  พระธรรมเทศนาของหลวงปู่เทสก์  เทสรังสี  ”  และ  CD / MP   เรื่อง   “ ศิษย์โง่เรียนเซน ”  ของ  เป้าเก็งเต็ง
อภินันทนาการจากสมาชิกกลุ่มฯผู้ไม่ประสงค์ออกนาม   ขออนุโมทนาด้วย
                                                                                                                  
         
โลกสวยงามด้วยมือเรา                                                                                                            “ ส่งชัย”
ฝ่ายโรเนียวเอกสารและบรรจุเอกสาร        ขอเชิญชวนอาสาสมัครมาช่วยโรเนียวและบรรจุซองเอกสารในวันเสาร์ที่   ๓๐  มกราคม  ๒๕๕๙   เวลา  ๑๓.๓๐   ณ  บ้านเลขที่  ๑๘๘/๑๓๓   ซอยสายใต้เก่า  ถนนจรัญสนิทวงศ์   ซอยอยู่ตรงข้ามธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด  สาขาสามแยกไฟฉาย  โทร. ๐๘๔ -  ๖๖๑๙๒๖๘
ฝ่ายกิจกรรมพิเศษ            
-  มูลนิธิหลวงพ่อเทียน       สอนปฏิบัติการเจริญสติแบบเคลื่อนไหวตามแนวหลวงพ่อเทียน  จิตฺตสุโภ      
                                           ทุกวันที่    ๑ – ๗  ของทุกเดือน  โดย พระอาจารย์ อเนก  เตชวโร   
สถานที่ปฏิบัติธรรม
กรุงเทพฯ – ปริมณฑล
๑.  มูลนิธิหลวงพ่อเทียน        อาจารย์ อเนก  เตชวโร   โทร. ๐๒ – ๔๒๙๒๑๑๙
๒.   วัดสนามใน                       บางกรวย นนทบุรี    โทร. ๐๒ – ๘๘๓๗๒๕๑
๓.   สำนักสงฆ์ปลายนา          พระอาจารย์โกสินทร์   โทร. ๐๘๖ – ๘๓๑๗๕๒๐
ต่างจังหวัด
๑.  วัดป่าสุคะโต                   ติดต่อ  คุณสุนทรี     ศรีพล    โทร. ๐๘๗ – ๐๒๒๙๑๐๒
๒.  วัดป่าสันติธรรม             อุทยานแห่งชาติตาดโตน   ต. ท่าหินโงม   อ.เมือง  จ. ชัยภูมิ
                                             ติดต่อ พระอาจารย์ครรชิต  อกิญฺจโน  โทร. ๐๘๑ – ๒๘๒ – ๓๔๖๕
๓.  สวนโมกขพลาราม           วันที่  ๑๘ -  ๒๗   ของทุกเดือน  คนไทยติดต่อ  ธรรมทานมูลนิธิ
    โทร.  ๐๗๗  –  ๔๓๑๕๕๒ ,  ๐๗๗  –  ๔๓๑๕๙๖ ,  ๐๗๗ -  ๔๓๑๖๖๑-๒
๔.   ธรรมาศรมธรรมมาตา      สวนโมกขพลาราม     โทร.  ๐๗๗ – ๔๓๑๕๙๖ – ๗,  ๐๗๗ – ๔๓๑๖๖๑ – ๒
                                              โทรสาร  ๐๗๗ – ๔๓๑๕๙๗
๕.   มูลนิธิอาศรมมาตา           ๖๗   หมู่  ๗    ต. ภูหลวง   อ. ปักธงชัย    จ. นครราชสีมา     ๓๐๑๕๐   
                                               ติดต่อ  อุบาสิกาทิพวรรณ   ทิพยทัศน์    โทร.  ๐๘๗ – ๒๕๔ – ๕๔๔๗                  
                                                         คุณพิชามญชุ์  ( ไก่ )     โทร.  ๐๘๑ – ๙๑๓ – ๕๐๓๑
                                                           E – Mail   ASHRAMMATA@GMAIL.COM
******* ข่าวประชาสัมพันธ์*******
กำหนดการ ธรรมะหรรษา
สู่วัดป่ามหาวัน (ภูหลง) อ.ภูเขียว จ.ชัยภูมิ
    เป็นเวลานานกว่าสามสิบปี   ที่โครงการวนาพิทักษ์ ได้เกิดขึ้นเนื่องจากหลวงพ่อคำเขียนได้ปรารภเรื่องการอนุรักษ์ป่าไม้ที่ภูหลง  ขณะนั้นกลุ่มศึกษาและปฏิบัติธรรม  นำโดยคุณวุฒิชัย ทวีศักดิ์ศิริผล  จึงจัดโครงการนี้ขึ้น และได้เชิญชวนญาติธรรมมาร่วมกันอนุรักษ์ป่า(กรมป่าไม้ให้ความอนุเคราะห์ต้นไม้และพันธุ์ไม้) บริจาคเสื้อผ้าให้ชาวบ้าน ฯลฯ
    ขณะนี้เวลาผ่านมากว่าสามสิบปี เพื่อรำลึกถึงหลวงพ่อคำเขียน สุวัณโณ และคุณวุฒิชัย ทวีศักดิ์ศิริผล  (อดีตประธานกลุ่มศึกษาฯ) ได้เคยทำมา  จึงได้จัดกิจกรรมธรรมะหรรษาทอดผ้าป่าสามัคคีเพื่อการอนุรักษ์ป่าขึ้น ณ วัดป่ามหาวัน (ภูหลง) จ. ชัยภูมิ ในวันศุกร์ที่ ๘ - ๑๐ มกราคม ๒๕๕๙ รายละเอียดพอสังเขปดังนี้.-
วันศุกร์ที่ ๘ มกราคม ๒๕๕๙       
๐๗.๐๐ น.    นัดพบที่จตุจักร เลยสถานี BTS ไป ๕๐ เมตร
(เดินทางโดยรถตู้ ๑๐ ที่นั่ง/ต่อคัน)
๐๘.๐๐ น.    รถออกจากกรุงเทพ
- อาหารเช้าที่บ้านสวน
- อาศรมมาตา อ. ปักธงชัย (อุบาสิกาทิพวรรณ ทิพยทัศน์)
- อาหารเที่ยง,  (ตามอัธยาศัย)
- ชมอุทยานมอหินขาว ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติภูแลนคา อ.เมือง จ.ชัยภูมิ
- วัดภูเขาทอง กราบอนุสรณ์สถานหลวงพ่อคำเขียน สุวัณโณ
- วัดป่าสุคะโต
- อาหารเย็น (ที่วัดป่าสุคะโต)
วันเสาร์ที่  ๙  มกราคม ๒๕๕๙
    ๐๔.๓๐ น.    ทำวัตรเช้า
    ๐๗.๐๐ น.    ชมวัดป่าสุคะโต กราบอัฐิหลวงพ่อเทียน จิตตฺสุโภ , หลวงพ่อคำเขียน สุวัณโณและ           
                                    คุณวุฒิชัยฯ อดีตประธานกลุ่มฯ
    ๐๘.๐๐ น.    อาหารเช้า (ที่วัดป่าสุคะโต)
    ๑๐.๐๐ น.    ไปวัดป่ามหาวัน (ภูหลง)
    ๑๑.๐๐ น.    รับประทานอาหารกลางวัน (วัดป่ามหาวัน)
    ๑๓.๐๐ น.    พิธีทอดผ้าป่าที่วัดป่ามหาวัน
    ๑๓.๓๐ น.    ฟังธรรม และปฏิบัติธรรม
    ๑๕.๐๐ น.    รับประทานอาหารเย็น
- เตรียมตัวเดินทางไปผาศิวิไล
            - เดินทางขึ้นผาศิวิไล
    ๑๗.๐๐ น.    ทำวัตรเย็น,   ชมพระอาทิตย์ตก ,  
            นั่งล้อมกองไฟ  ฟังธรรมะบรรยาย และปฏิบัติธรรม
วันอาทิตย์ที่  ๑๐  มกราคม ๒๕๕๙
    ๐๔.๓๐ น.    ทำวัตรเช้า
    ๐๘.๐๐ น.    อาหารเช้า (ที่วัดป่ามหาวัน)
    ๐๙.๐๐ น.    กราบลาพระอาจารย์ไพศาล วิสาโล  
    ๑๒.๐๐ น.    พักทานอาหาร (ตามอัธยาศัย)
            - ชมวิหารเทพวิทยาคม (หลวงพ่อคูณ  อ.ด่านขุนทด โคราช)
            - แวะวิหารสมเด็จพุทธาจารย์หลวงพ่อโต  (ของสรพงษ์ ชาตรี)
- เดินทางกลับกรุงเทพฯ
***รายการนี้อาจมีการเปลี่ยนแปลงตามความเหมาะสม
*** อุปกรณ์ที่ต้องเตรียม  :-  ของใช้ส่วนตัว,  ยา,  ร่ม, รองเท้าใส่สบาย,  ไฟฉาย, ถุงนอน,  
ผ้ายางปูนอน, ผ้ากันหนาว, หมวกกันน้ำค้าง
  
ติดต่อสอบถามและสมัครได้ที่ :-
คุณมนวิภา เกียรติเลิศธรรม   โทร.  ๐๘๔-๖๖๑-๙๒๖๘,  Line. ๐๙๔-๔๘๙-๒๕๖๕
สมัครด่วนรับจำนวนจำกัด ๓๐ ท่านเท่านั้น จ้า..!!!...ค่าเดินทางท่านละ ๒,๓๐๐ บาท
โอนเงินชำระค่าเดินทางโดยเข้าบัญชี:- ธนาคารทีเอ็มบี สาขาพหลโยธิน  บัญชีออมทรัพย์  ชื่อ อภิชาติ         เลิศวิริยจิตต์  เลขบ/ช  ๐๐๑-๒-๙๑๙๙๖-๕ และกรุณาโทรแจ้งหรือส่งLine เอกสารตามเบอร์ด้านบน ขอขอบคุณ
หากท่านประสงค์จะบริจาคเงินเพื่อทอดผ้าป่าสามัคคี   กรุณาโอนเงินเข้าบ/ช   ธนาคารกสิกรไทย   สาขาแคราย บัญชีออมทรัพย์  ชื่อ  พรทิพย์ เชาวรียวงษ์   เลขบ/ช    ๐๐๔-๑-๓๙๑๐๓-๐  และกรุณาโทรแจ้งไปที่เบอร์โทร ๐๘๙-๔๔๒-๑๖๖๒  ขอขอบคุณ
................................................................
ยกย่อง อาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ เป็นบุคคลสำคัญของโลก





นายสมคิด เลิศไพฑูรย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เปิดเผยว่า มูลนิธิป๋วย อึ๊งภากรณ์ และ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้เสนอไปยังรัฐบาลไทยตั้งแต่ปีที่แล้ว เพื่อให้เสนอชื่ออาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์เป็นบุคคลสำคัญของโลก ซึ่งล่าสุดได้ผ่านกระบวนการพิจารณาขององค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) เรียบร้อยแล้ว
     "ในช่วงเวลา ๑๖:๐๐ น. ของเมื่อวันที่ ๑๘ พ.ย.๒๕๕๘ ที่ผ่านมา ที่กรุงปารีส ที่ประชุมใหญ่ยูเนสโกได้ให้ความเห็นชอบตามที่อนุกรรมการเสนอให้ยกย่อง อาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ เป็นบุคคลสำคัญของโลก โดยเมื่อยูเนสโกมีมติแล้ว  รัฐบาลเจ้าภาพจะต้องจัดงานเฉลิมฉลอง  ซึ่งมธ.ได้เตรียมการไว้แล้ว"
 ทั้งนี้การเสนอชื่อ อาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ เป็นบุคคลสำคัญของโลกดังกล่าว อยู่ในช่วงครบรอบ ๑๐๐ ปีชาตกาล โดยได้รับการสนับสนุนจาก ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม                                                
           อาจารย์ป๋วย อึ้งภากรณ์ เป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่มีชื่อเสียงของประเทศไทย เคยเป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย สมาชิกขบวนการเสรีไทย และอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้รับรางวัลแมกไซไซ สาขาบริการสาธารณะ ใน พ.ศ. ๒๕๐๘ และเป็นเจ้าของข้อเขียน " คุณภาพชีวิต ปฏิทินแห่งความหวัง จากครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน "
       ในช่วงปี ๒๕๑๙ หลังเกิดรัฐประหารนำโดย พลเรือเอกสงัด ชลออยู่ อาจารย์ป๋วยได้เดินทางออกนอกประเทศไปยุโรป ก่อนจะเดินทางกลับมาในประเทศไทย ช่วงปี ๒๕๓๐ และกลับไปใช้ชีวิตในต่างประเทศอีก ก่อนจะถึงแก่กรรมที่บ้านพักในกรุงลอนดอน เมื่อปี ๒๕๔๒ ในวัย ๘๓ ปี
ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม
"ถ้าจะมีผู้แผลงสอดซักถามปัญหาว่า มีบุคคลบางท่านซึ่งประพฤติธรรมแล้ว ไม่เห็นได้รับอารักขาปกป้องจากธรรมนั้นเลย ในโลกนี้มีความอยุติธรรมอยู่เป็นอันมาก เช่นนี้ผมมีความเห็นว่า ผู้ประพฤติธรรมนั้นคงจะไม่ได้ประสงค์มุ่งหวังหาผลตอบแทนเสมอไป คือประพฤติธรรมเพื่อความดี ความชอบ ความเป็นจริง เพื่อความยุติธรรมให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ก็จะเป็นอานิสงส์อยู่ในตัวแล้ว"
ป๋วย  อึ๊งภากรณ์
(ธรรมะ, ๒๕๐๕)
การทุจริตคอรัปชั่น
"การกดขี่ราษฎร การฉ้อราษฎร์บังหลวง ไม่ว่าจะเกิดในท้องถิ่นหรือในกรุงเทพฯ ไม่ว่าจะเกี่ยวกับเงินก้อนใหญ่หรือก้อนเล็ก ไม่ว่าจะกระทำโดยผู้ใหญ่หรือผู้น้อยย่อมเป็นภัยแก่การอยู่ดีกินดีของราษฎร อย่าให้ใครมาอ้างเลยว่า ผู้ที่ปกครองประเทศอยู่จำเป็นจะต้องมีเงินรายได้พิเศษมาด้วยวิธีการต่างๆ เพราะเงินนั้นต้องใช้เลี้ยงลูกน้อง เพื่อจะได้ปกครองสะดวกขึ้น แม้จะอมพระมาอ้างก็อย่าเชื่อ เพราะทรัพย์สินเกิดมีอยู่ในประเทศในขณะใดขณะหนึ่งนั้น มีจำกัด ถ้าส่วนหนึ่งตกเป็นของใครจนมากแล้วที่เหลือก็เหลือน้อย สำหรับคนอื่นๆ คือชาวบ้านจำนวนมากๆ ชาวบ้านราษฎรก็ย่อมเบื่อระอา ไม่สนใจว่าใครจะเป็นรัฐบาลหรือใครจะก่อการร้าย เพราะเห็นว่าไม่แตกต่างกัน"
ป๋วย อึ๊งภากรณ์
(บรรยาย ณ คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ , ๒ ตุลาคม ๒๕๑๒)
ประชาธรรม
ประชาธรรมเป็นคำที่ผมต้องการใช้มากกว่าประชาธิปไตย เพราะในวงการเมืองนั้น คำว่าประชาธิปไตยใช้กันจนเฝือ เช่น ในโรงเรียนไทย แม้จะอยู่ในระบบเผด็จการ เขาก็ยังสอนให้นักเรียนท่องว่าประเทศไทยเป็นเสรีประชาธิปไตย
อีกประการหนึ่ง การเป็นประชาธิปไตยนั้นถ้าไม่อาศัยหลักธรรมะแล้ว ย่อมไม่สมบูรณ์และบกพร่องแน่ เพราะถึงแม้เราจะปกครองกันด้วยเสียงข้างมาก ถ้าเสียงข้างมากโน้มเอียงไปเชิงพาลแล้ว ก็ต้องเปิดโอกาสให้เสียงข้างน้อยสามารถถกเถียงเรียกร้องให้มีสิทธิแสดงความเห็นได้จึงจะเป็นธรรมะ
หลักประชาธรรมเป็นหลักกว้างๆ มีองค์ประกอบเป็นแก่นสาร ๒ ประการ คือ
เสรีภาพและสิทธิของคนแต่ละคน (จำกัดความตามเอกสารของสหประชาชาติเรื่องสิทธิมนุษยชน) ภายในขอบเขตที่ไม่ทำลายเสรีภาพและสิทธิของผู้อื่น นี่ประการหนึ่ง
กับประการที่สองคือการมีส่วนร่วมในการกำหนดโชคชะตาของสังคมที่เราอาศัยอยู่ แต่ละคนมีสิทธิหน้าที่เท่ากันในเรื่องนี้ ไม่ว่าจะมีฐานะ เพศ หรือกำเนิดมาอย่างใด ... รูปแบบประชาธรรมจะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่ ไม่จำเป็นต้องเอาอย่างรูปแบบของยุโรปอเมริกา
ป๋วย  อึ๊งภากรณ์
(ความรู้เรื่องเมืองไทย, ๒๕๒๐)
การเริ่มนิสัยให้สินบน
การหลงเชื่อโดยงมงายนั้นเป็นภัยต่อสังคม เป็นภัยแก่ศีลธรรม เป็นการลบล้างศาสนา นักศึกษาที่จะสอบไล่ไปบูชาต้นโพธิ์ในธรรมศาสตร์ขอให้สอบได้ เสร็จแล้วจะเอาหัวหมูมาให้เอาอะไรมาให้ นั้นเป็นการเริ่มนิสัยให้สินบ นตั้งแต่เดี๋ยวนี้ เป็นการผิดทีเดียว ผิดเหลือเกิน ที่ฉะเชิงเทราได้ข่าวว่า หลวงพ่อโสธรมีชื่อเสียง ก็อยากจะไปชมท่าน ที่ไหนได้เห็นว่าเขาทำกันเป็นการค้า มีการให้สินบน เอาของไปให้ ผมก็เลยหมดความศรัทธา รู้สึกว่าเป็นการที่เข้าใจกันผิด
ป๋วย  อึ๊งภากรณ์
(ความรับผิดชอบทางจริยธรรมเป็นความจำเป็นในการพัฒนาประเทศ, ๒๕๐๙)
"ผมจะทำทุกวันให้เหมือนเป็นวันสุดท้ายของชีวิต"
ใช้ธรรมะนำทางชีวิต (ปอ ทฤษฎี)
บางวันเราอาจเห็นผู้ชายคนนี้ ร้องและเต้นอย่างสุดเหวี่ยงอยู่กลางตลาด ในขณะที่หลายๆ คืนก่อน หน้านั้นก็อาจได้ชมเขาพลิกบทบาทมาเป็นผู้ใหญ่บ้านหรือว่าไอ้หนุ่มคนยากที่มากด้วยอุปสรรคในชีวิตรัก แต่ไม่ว่าจะรับบทเป็นตัวละครตัวไหน เขาก็จะมุ่งมั่นลงลึกในทุกรายละเอียดอย่างเต็มที่เสมอ ดังที่ได้เคยลั่นวาจาเอาไว้ในหลายๆ ครั้งว่า  “ผมจะทำทุกวันให้เหมือนเป็นวันสุดท้ายของชีวิต”
แรงบันดาลใจที่ทำให้คุณทำกิจกรรมเพื่อสังคมมาค่อนข้างมากในช่วงหลายๆ ปีมานี้คืออะไร
"ผมคิดว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาสังคมนี้ให้อะไรกับผมเยอะมาก ทำให้ผมมีวันนี้ได้ เพราะฉะนั้นเมื่อถึงจุดที่ผมพอจะตอบแทนสังคมได้บ้างแล้ว ก็อยากจะหากิจกรรมทำเพื่อสังคมบ้าง ในมุมที่ไม่จำเป็นต้องเป็นแค่เพื่อเงินเพียงอย่างเดียว"
จุดเริ่มต้นที่คุณมาทำหน้าที่ทูตของสมาคมพิทักษ์สัตว์แห่งโลกคืออะไร
"ปกติผมเป็นคนรักสัตว์อยู่แล้ว พอดีเมื่อปี ๒๕๕๓ ทาง WSPA (World Society for the Protection of Animals) เขามีโครงการล่ารายชื่อผู้สนับสนุนโครงการคุ้มครองสวัสดิภาพและปกป้องสัตว์ จากทั่วทุกมุมโลกให้ได้สิบล้านรายชื่อ ซึ่งผมเองได้ร่วมลงชื่อสนับสนุนโครงการนี้ด้วย หลังจากนั้นผมก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นทูตดับเบิลยูเอสพีเอ และได้ไปบรรยายตามโรงเรียนต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องสวัสดิภาพของสัตว์ ผมมองว่าถ้าเราสามารถปลูกฝังให้เด็กๆ เข้าใจในเรื่องนี้ได้ เขาก็น่าจะโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่มีความรับผิดชอบ นอกจากนั้นผมก็คิดว่า คนที่เลี้ยงสัตว์มักเป็นคนที่จิตใจอ่อนโยนและมีเมตตา ถ้าสังคมมีคนที่จิตใจอ่อนโยนและมีเมตตามากๆ ก็น่าจะทำให้โลกเราอยู่กันอย่างสงบสุขครับ"
ตอนนี้ถือว่าชีวิตมีความสุขเต็มไปด้วยรอยยิ้มหรือยัง
"มีความสุขครับ…แต่ยังไม่ถึงที่สุด เพราะผมยังไม่จบชีวิตไง แต่ก็ถือว่าตัวเองมีความสุขมากแล้วที่ได้ทำในสิ่งที่ไม่ได้ขัดกับความเป็น ตัวเอง เลย ตั้งแต่วันแรกที่ผมเข้ามาเป็นนักแสดงจนถึงทุกวันนี้ ผมไม่เคยเปลี่ยนแปลงอะไรไป เช่นเดียวกับเรื่องชีวิตส่วนตัวที่ครอบครัวยังคงมีความสำคัญมากๆ สำหรับผม ผมคงเป็น ปอ ทฤษฎี อย่างที่เป็นอยู่ในวันนี้ไม่ได้ถ้าไม่มีคุณพ่อคุณแม่ แล้วก็คุณอาที่ทำให้ผมได้มาอยู่ในวงการนี้ รวมทั้งสอนผมในหลายๆ เรื่อง โดยเฉพาะกับคำสอนของคุณอาเรื่องที่ว่า “เกียรติยศชื่อเสียงทั้งหมดที่เรามีล้วนเกิดขึ้นเพราะทุกคนมอบให้ ไม่ได้เกิดขึ้นจากตัวเรา” ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมยังคงยึดมั่นมาโดยตลอด ผมจึงอยากถือโอกาสขอบคุณทุกคนสำหรับความสุขและทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมได้รับมา ณ ที่นี้ด้วยครับ"
นี่คือหนึ่งในบทสัมภาษณ์ที่ ปอ ทฤษฎี พูดถึงแนวทางการใช้ชีวิตของเขา นับเป็นแนวคิดที่น่าสนใจ และดูเหมือนว่าผู้ชายที่ถูกเรียกว่า "พระเอก" กลับยืนอยู่ในจุดที่แทบจะพูดได้ว่า เขาคือผู้ชายธรรมดาๆ คนหนึ่ง ที่พยายามใช้ชีวิตให้เรียบง่ายและมีความสุขในทุกวัน และหันกลับมาตอบแทนสังคม หากจะบอกว่าเขาคือแบบอย่างที่น่าสนใจอย่างแท้จริง ก็คงจะดูไม่พูดเกินจริงจนเกินไป…แล้วพวกคุณล่ะเห็นด้วยไหม…
ในขณะที่คุณปอ ทฤษฎี กำลังต่อสู้กับอาการป่วยด้วยโรคไข้เลือดออกอย่างหนักอยู่ในขณะนี้ พวกเราก็ขอส่งกำลังใจให้อาการดีขึ้นในเร็ววัน และกลับมาสร้างสรรค์สิ่งดีๆ และผลงานดีๆ ให้พวกเราได้ติดตามเหมือนเดิม
(ขอบคุณที่มาบทสัมภาษณ์จาก นิตยสาร Secret)
การช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่หวังผลตอบแทน
    การช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่หวังผลตอบแทนนั้น บางครั้งกลับได้รับคืนมาอย่างไม่น้อยไปกว่ากัน แม้ว่าจะ
ไม่ได้ตั้งใจว่า จะได้อะไรกลับคืนมาก็ตาม เพราะสิ่งหนึ่งที่นับเป็นความจริงในโลกนี้คือ คำที่ว่า
“ ทำอย่างไรก็จะได้อย่างนั้นกลับคืนมา ”   อย่างเช่นเรื่องเล่าของสิ่งที่เกิดขึ้นจริงเมื่อนานมาแล้วเรื่องนี้
ชื่อของเขาคือ เฟลมมิง เป็นชาวนาชาวสกอตแลนด์ผู้ยากจนวันหนึ่งระหว่างที่เขากำลังทำงานอยู่ในไร่ เฟลมมิ่งก็ได้ยินเสียงร้องให้ช่วยดังมาจากบึงโคลนที่อยู่ไม่ไกลแถวนั้น โดยไม่ต้องคิด เขาวางมือจากงานที่ทำอยู่ แล้ววิ่งตรงไปที่บึงอย่างรวดเร็ว แล้วเมื่อเข้าใกล้เขาก็เห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งกำลังถูกโคลนดูดอยู่กลางบึง  ยิ่งเขาพยายามดิ้นรนช่วยเหลือตัวเองมากเท่าใด  เด็กหนุ่มก็ยิ่งจมลงไปในโคลนมากขึ้นเท่านั้น
    ตอนนี้โคลนอยู่สูงถึงหน้าอกของเขาแล้ว เด็กหนุ่มจึงร้องอย่างกลัวความตาย  เมื่อเห็นอย่างนั้น เฟลมมิงก็วิ่งลุยโคลนลงไปโดยไม่คิดถึงความปลอดภัยของตัวเอง เขาต้องช่วยเด็กหนุ่มออกมาให้ได้ โชคดีเป็นของเด็กหนุ่มที่เฟลมมิงอยู่ตรงนั้นทำให้เขารอดพ้นจากความตาย
ในวันต่อมา  มีรถม้าอันหรูหราสวยงามมาจอดตรงหน้าบ้านอันยากแค้นของเฟลมมิง แล้วขุนนางผู้สูงศักดิ์ในเครื่องแต่งกายงดงามก็ก้าวลงจากรถม้า เขาแนะนำตัวเองว่าเป็นบิดาของเด็กหนุ่มที่เฟลมมิงช่วยไว้เมื่อวานนี้
“ข้าต้องการจะตอบแทนเจ้า”  ชายสูงศักดิ์กล่าว   “ที่ได้ช่วยชีวิตลูกชายของข้าไว้”
“ข้ารับค่าตอบแทนจากสิ่งที่ข้าทำลงไปไม่ได้หรอก”  เฟลมมิงตอบกลับ และในเวลาเดียวกันนั้น ลูกชายของเขาก็เดินออกมาจากตัวบ้าน
    “นั่นคือลูกชายของท่านใช่หรือไม่ ?”  ชายสูงศักดิ์ถาม
“ใช่”
    “ถ้าเช่นนั้นข้ามีเรื่องจะตกลงกับเจ้า ข้าอยากช่วยลูกชายของเจ้าให้ได้เรียนหนังสือมากเท่าที่ลูกชายของเจ้าพอใจจะได้หรือไม่ เพราะถ้าหากว่าลูกชายของเจ้าเป็นเหมือนพ่อของเขาแล้ว เขาจะเติบโตขึ้นเป็นคนที่พวกเราจะต้องภาคภูมิใจอย่างไม่ต้องสงสัย”
เฟลมมิงตอบตกลงรับข้อเสนอนั้น
ต่อมาลูกชายของเฟลมมิงจึงได้เข้าเรียนในโรงเรียนที่ดีที่สุด หลังจากที่เขาเรียนจบจากโรงเรียนแพทย์ของโรงพยาบาลเซนต์แมรีส์ในลอนดอน  ชายหนุ่มคนนี้ก็กลายมาเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกในชื่อของ  เซอร์อเล็กซานเดอร์ เฟลมมิง ผู้ค้นพบยาเพนนิสซิลินนั่นเอง
ภายหลัง ลูกชายของชายสูงศักดิ์ที่เฟลมมิงได้ช่วยไว้จากโคลนดูด ก็ล้มป่วยด้วยโรคปอด แล้วอะไรล่ะที่ช่วยชีวิตเขาไว้ได้อีกครั้ง ?
    แน่นอน นั่นก็คือยาเพนนิสซิลิน
    ชื่อของชายสูงศักดิ์คนนั้นคือ  ลอร์ด แรนดอลฟ์ เชอร์ชิลล์  และลูกชายของเขามีชื่อว่า  เซอร์วินสตัน เชอร์ชิลล์  ที่กลายมาเป็นนายกรัฐมนตรีแห่งสหราชอาณาจักร และเจ้าของรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม
ด้วยเรื่องนี้ทำให้เราเชื่อว่า “ทำอย่างไรก็จะได้อย่างนั้นกลับคืนมา”   เป็นเรื่องจริง
ที่มา: หนังสือพิมพ์โพสทูเดย์ คอลัมน์ "กำลังใจ...ได้อะไร"
"ถึงแม้พวกเขาจะมีปืน แต่เรามีดอกไม้"
...บทสนทนาสุดประทับใจระหว่างพ่อ-ลูกชาวฝรั่งเศสเกี่ยวกับเหตุการณ์โจมตี กรุงปารีส    สุดประทับใจหลังเหตุการณ์โจมตีกรุงปารีส บทสนทนาน่ารักๆของคุณพ่อกับลูกชายวัยเยาว์ที่ได้บทเรียนล้ำค่า   บางทีเรื่องที่อธิบายได้ยากที่สุด กลับอธิบายได้ง่ายๆ และงดงามอย่างที่เราคาดไม่ถึง ในบทสนทนาระหว่างคุณพ่อและลูกชายตัวน้อยชาวฝรั่งเศส เชื้อสายเอเชีย ที่คุยกับผู้สื่อข่าวฝรั่งเศสจาก Le Petit Journal sur Canal+ เกี่ยวกับเหตุการณ์โจมตีกรุงปารีส 
Father's Talk With Son About Paris Terror Attack l วีดิโอความยาวประมาณ ๑.๒๐ นาที สร้างความประทับใจให้กับผู้คนทั่วโลกและได้รับความสนใจจากสื่อหลายสำนัก รวมทั้งโลกออนไลน์ ที่บอกว่าเมื่อรับฟังเสร็จแล้วรู้สึกดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ
บทสนทนาในภาษาไทย
ผู้สื่อข่า : หนูเข้าใจไหมว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่ และทำไมผู้คนถึงทำแบบนี้?
เด็กชายตัวน้อย : ครับ เรื่องนี้จริงจังมาก พวกผู้ร้ายเป็นคนไม่ค่อยดี ..เราจะต้องระวังตัวอย่างมาก (บางที)   
                           เราจำเป็นต้องย้ายบ้านหนีเสียแล้วล่ะ
คุณพ่อ : โถ..ลูก...ไม่ต้องกังวลนะจ๊ะ เราจะไม่ย้ายไปไหน  (ที่นี่) ฝรั่งเศสคือบ้านของเรา
เด็กชายตัวน้อย  : แต่..คุณพ่อครับ  มันมีพวกคนไม่ดีอยู่นะครับ
คุณพ่อ : ใช่ลูก.. ไปที่ไหนก็มีพวกคนไม่ดีอยู่เต็มไปหมดนั่นล่ะ 
เด็กชายตัวน้อย : พวกเขามีปืนนะครับ และใช้ปืนยิงเราได้ด้วย พวกเขาทำจริงๆนะครับคุณพ่อ !! 
คุณพ่อ : ไม่เป็นไรนะลูก ทุกอย่างโอเค ..ถึงแม้พวกเขาจะมี "ปืน" แต่ เรามี "ดอกไม้" นะลูก..
เด็กชายตัวน้อย : แต่ดอกไม้ มันทำอะไรไม่ได้นี่ครับคุณพ่อ ....ดอกไม้ก็ทำได้เพียง....เอิ่ม??...ทำได้แค่.....???
คุณพ่อ : ดอกไม้ทำได้สิลูก ดูนั่นสิ ผู้คนกำลังวางดอกไม้กัน ...พวกเขาเอา "ดอกไม้" มาวางเพื่อสู้กับ "ปืน" ไง    
               ล่ะลูก
เด็กชายตัวน้อย : แล้วดอกไม้จะปกป้องเราได้เหรอครับคุณพ่อ ??? 
คุณพ่อ : ดอกไม้จะปกป้องเราแน่นอน..ลูก 
เด็กชายตัวน้อย :  รวมทั้งเทียนที่จุดด้วยหรือเปล่าครับคุณพ่อ ? 
คุณพ่อ : ทั้ง "ดอกไม้" และ "แสงเทียน" เหล่านั้นก็เพื่อร่วมรำลึกถึงผู้ที่จากเราไปเมื่อวานนี้ไงลูก
เด็กชายตัวน้อย : อืมมมม (หันมาพูดกับผู้สื่อข่าว) ....ทั้ง "ดอกไม้" และ "แสงเทียน" มาช่วยปกป้องเราครับ 
คุณพ่อ : ถูกต้องแล้วลูก
ผู้สื่อข่าว : (ถาม) แล้วตอนนี้หนูรู้สึกดีขึ้นแล้วหรือยังล่ะ?
เด็กชายตัวน้อย : (ตอบ) รู้สึกดีขึ้นแล้วครับ
จาก voa thai      ๑๘ .๑๑.๒๐๑๕
“ผมจะไม่ให้ของกำนัลคุณเป็นความเกลียดชัง”
    บีบีซีไทยเผยคลิป สามีชาวฝรั่งเศสผู้สูญเสียภรรยา “ผมจะไม่ให้ของกำนัลคุณเป็นความเกลียดชัง”
    ๒๐ พ.ย.๒๕๕๘ เพจบีบีซีไทย เผยแพร่คลิปวิดีโอ "ผมจะไม่ให้ของกำนัลแก่คุณเป็นความเกลียดชัง" นำมาจากการโพสต์เฟซบุ๊กของ Antonie Leiris ผู้สูญเสียภรรยาไปในเหตุกราดยิงที่หอแสดงดนตรีบาตาคล็อง กลางกรุงปารีส เขาเล่าถึงความรู้สึกและส่งผ่านข้อความไปถึงฝ่ายผู้กระทำการ ข้อความของเขาได้รับการไลค์และแชร์เป็นจำนวนมาก
    ทีมงานบีบีซีในกรุงปารีสได้บันทึกเสียงของ Antoine Leiris ที่อ่านข้อความของเขาเอง และ Mohamed Madi ช่างภาพเป็นผู้รวบรวมจัดทำคลิปวิดีโอนี้ขึ้น
ข้อความในคลิปวิดีโอมีดังนี้ :
    “เมื่อคืนวันศุกร์ คุณพรากชีวิตที่แสนพิเศษไป”
     “    ที่รักของผม แม่ของลูกชายผม แต่ผมจะไม่อาฆาตแค้นคุณ”
Antoine Leiris เสียภรรยา Helene ในเหตุกราดยิงที่หอดนตรีบาตาคล็อง
ข้อความอาลัยถึงภรรยาที่เขาเขียนบนเฟซบุ๊กถูกแชร์ไปหลายพันครั้ง
    “ผมไม่รู้ว่าคุณคือใคร และไม่อยากจะรู้ คุณเป็นเพียงวิญญาณที่ตายแล้ว”
“หากพระเจ้าที่คุณสังหารเหยื่อในนามของพระองค์ สร้างมนุษย์เราขึ้นมาตามฉายาของท่าน”
“กระสุนแต่ละนัดที่ฝังในร่างภรรยาของผม ก็คือ รอยแผลในดวงหทัยของพระองค์”
“ดังนั้น ผมจะไม่ให้ของกำนัลแก่คุณเป็นความเกลียดชัง”
“มันชัดเหลือเกินว่า  คุณต้องการสิ่งนี้”
“แต่การตอบสนองด้วยความโกรธแค้น ก็เท่ากับยอมให้กับความเขลาแบบเดียวกันที่ทำให้คุณเป็นแบบนี้”
“คุณต้องการให้ผมหวาดกลัว?”
“ต้องการให้ผมมองเพื่อนร่วมชาติด้วยความหวาดระแวง?”
“ให้ผมสละเสรีภาพเพื่อแลกกับความปลอดภัย?”
“คุณแพ้  คนเล่นคนเดียวกัน เกมเดียวกัน”
“ผมเห็นเธอเมื่อเช้า หลังจากที่รอมาหลายวันหลายคืน”
“เธอยังคงงดงาม ไม่ต่างจากตอนที่ก้าวออกจากบ้านไปเมื่อคืนวันศุกร์”
“เธอยังคงงดงาม เหมือนตอนที่ผมตกหลุมรักเธอหัวปักหัวปำ เมื่อกว่า ๑๒ ปีก่อน”
“แน่นอนว่า ผมหัวใจสลายด้วยความโศกเศร้า ผมจะยอมให้คุณได้แค่ชัยชนะอันเล็กน้อยนี้”
“แต่มันจะเป็นเพียงความโศกเศร้าช่วงสั้นๆ เท่านั้น”
“ผมรู้ว่าเธอจะอยู่กับเราทุกวัน”
“และเราจะได้พบกันอีกครั้งในสรวงสวรรค์แห่งวิญญาณอันเสรีที่ซึ่งคุณจะไม่มีทางไปถึงได้”
“เรามีกันแค่สองคน แค่ผมกับลูกชาย”
“แต่เรามีพลังเหนือกว่ากองทัพทั้งโลก”
“ยังไงก็ตาม ผมไม่มีเวลาจะเสียไปกับคุณอีกแล้ว”
“อีกสักพัก Melvil ก็จะตื่นจากนอนกลางวันเขาอายุแค่ ๑๗ เดือน”
“เขาจะกินขนมเหมือนที่เขาเคยกินทุกวันเราจะเล่นด้วยกันเหมือนที่เราเคยเล่น ทุกวัน”
“และทุกๆ วันในชีวิตของเด็กน้อยคนนี้จะหยามเหยียดคุณด้วยความสุขและเสรีภาพที่เขามี”
“เพราะคุณจะไม่ได้รับความอาฆาตแค้นจากเขาเหมือนกัน”
Antonie Leiris
ว่า ด้วย เรื่อง " ความเกลียดชัง "
๑. ความเกลียดชัง เป็นอารมณ์หนึ่งของมนุษย์ที่แสดงถึงความไม่ชอบ หรือ ปฏิกิริยาที่แสดงความไม่เห็นด้วย กับผู้อื่น ความเกลียดชังไม่ใช่ เป็นอาการที่เกิดจากจากการถูกข่มเหงรังแก อย่างเดียว บางครั้ง เกิด จาก การรู้สึกถึงการคุกคามหรือความรู้สึกที่เกิดจากความไม่มั่นคงทางจิตใจก็เป็นได้
๒. ความเกลียดชัง เป็นอารมณ์ส่วนบุคคล เป็นเรื่องปกติของอารมณ์ของมนุษย์ บางครั้งเป็นอารมณ์ร่วมของสังคมประเทศ เชื้อชาติ นิกาย ผิวสี หรือ แม้กระทั่งความเชื่อทางศาสนา และที่น่ากลัวในเวลานี้ คือ เป็น อารมณ์ร่วมของโลกของเราไปแล้ว
๓. ในระยะนี้ หากใครติดตามสถานการณ์ของโลกจะพบกระแสความเกลียดชังแพร่กระจายไปทุกหนทุกแห่ง บางที่พร้อมที่จะจับอาวุธเข้ามาประหัตประหารกัน โดยที่ไม่มีข้อขัดแย้งหรือรู้จักกันมาก่อน มีระเบิดพลีชีพกลางฝูงชน ที่มิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งเลย ในประเทศไทยมีการวางระเบิดในชุมชนทางภาคใต้ มีการไล่ล่าทำร้ายประชาชนที่ใช้ชีวิตตามปกติ มีการไล่ยิงครู พระสงฆ์ อิหม่าม ผู้นำศาสนามุสลิม ระเบิดวัด มัสยิด โบสถ์ และ สถานที่ต่างๆ สถานการณ์เหล่านี้ ไม่เพียงสร้างความหวาดกลัวในหมู่ประชาชนแล้ว         ยังสร้างความเกลียดชัง  แยกพวกแยกเหล่ากันมานาน จนไม่ทราบว่าอันใดคือเหตุอันใดคือผล
๔. ความขัดแย้งต่างๆ ย่อมต้องมีสาเหตุ บางอย่างแก้ได้ เช่น การไม่ได้รับความเป็นธรรม หากเรายอมรับ ข้อผิดพลาด และพยายามลงมือแก้ไข ความขัดแย้งก็น่าจะลดลงได้บ้าง บางอย่างแม้พยายามแก้ แต่แก้ได้ยาก หนึ่งในนั้น คือ ความเกลียดชังที่ถ่ายทอดมายังคนรุ่นหลัง จนแม้ทำดีเท่าไรความเกลียดชังก็ไม่หายไป ก็ยังรู้สึกว่า ยังฝังใจเจ็บเพราะ บรรพบุรุษถูกรังแกจากอีกฝ่าย แม้คนที่กระทำเหตุคนที่รับผลได้ล้มหายตายจากไปนานแล้ว แต่ยังมีความรู้สึกเหมือนยังเป็นผู้รับผลการกระทำนั้นอยู่ อันนี้คือความเกลียดชังสั่งสมนั่นเอง
๕.  ส่วนหนึ่งที่เกิดความเกลียดชังสั่งสมก็มีที่มาจากการส่งต่อความเกลียดชังจากรุ่นสู่รุ่น ผ่านบทเรียนที่บันทึกในประวัติศาสตร์ชาติต่างๆ นั่นเอง  ตัวอย่างเช่น ประวัติศาสตร์การเกิดสงครามโลก ชาติที่ก่อสงครามถูกเขียนบันทึกไว้ในรูปแบบของหนังสือ ภาพยนตร์ และเอกสารต่างๆมากมาย การก่อสงครามย่อมนำความเกลียดชัง ฝังใจ กับ คนในชาติที่ถูกรังแกคุกคาม เราจะสั่งสมความไม่ชอบ และ เกลียดชังชาตินั้นๆ รวมทั้งคนในชาตินั้นโดยไม่รู้ตัว แต่อย่าลืมว่า ผู้ก่อสงครามเป็นผู้ปกครองประเทศนั้นต่างหาก หาใช่ชนชาติชาตินั้นทั้งหมดไม่ การที่เราไปเกลียดชัง คนในชาตินั้นทุกคนจึงไม่ใช่เรื่องที่สมควรและที่ผ่านมาเราก็พบว่า คนในชาติที่ก่อสงคราม เมื่อเราได้รู้จัก ก็หาใช่คนไม่ดี นิสัยน่ารังเกียจ เหมือนกับที่เห็นในหนังสือ สื่อ หรือ ภาพยนตร์ บางเรื่องที่สร้างขึ้น ส่วนใหญ่ก็เป็นคนธรรมดานอบน้อมรักสงบเหมือนกันทุกประเทศ
๖.   การแสดงความเห็นใน social media ว่า เหตุการณ์ภัยพิบัติ หรือ การก่อการร้ายในประเทศนั้นๆ เป็น เพราะผลกรรมที่ประเทศนั้นๆ ก่อไว้ในอดีต ขอเห็นแย้งว่า คงไม่น่าใช่ผลกรรมของประเทศนั้นๆ แต่น่าจะเป็นเพราะในอดีตประเทศนั้นๆไปสร้างความทุกข์ให้ประเทศอื่น  จนเกิดมีกลุ่มคนที่เกลียดชังกลับมาก่อเหตุ แก้แค้นกัน หรือเป็นการสร้างสถานการณ์ เพื่อหวังผลบางอย่างทางการเมืองระหว่างประเทศก็เป็นได้ ด้วยผลกรรมเป็นเรื่องของปัจเจกบุคคล หรือกลุ่มคนที่สั่งการก่อเหตุที่ต้องรับกรรมนั้น หาใช่ตัวประเทศไม่ ส่วนการกระทำการก่อการร้ายโต้ตอบ เป็นเรื่องถูกต้องหรือไม่ หากเราเชื่อในพุทธศาสนา หรือ ศาสนาทั่วโลก ก็ไม่สนับสนุนให้ลงมือกระทำแบบนี้อยู่แล้ว ดังนั้น หากประเทศหนึ่งถูกก่อการร้าย  การโต้ตอบด้วยการส่งกำลังไปไล่ล่า ฆ่าคนในอีกชนชาติเพื่อแก้แค้น ย่อมสร้างความเกลียดชังนี้ ถ่ายทอดสืบเนื่องไปไม่รู้จบสิ้น ทางที่ถูกต้อง คือ ต้องจับผู้ก่อเหตุมาดำเนินคดีลงโทษ หากจำเป็นต้องใช้อาวุธรุนแรง ควรควบคุมความเสียหายมิให้ไป กระทบคนที่ไม่เกี่ยวข้อง แล้วหาทางแก้ไขความขัดแย้งที่เหตุ เพื่อเกิดความสงบสุขน่าจะเป็นวิธีแก้ปัญหาที่ดีกว่า
๗.    วิชาประวัติศาสตร์ของแต่ละชาติ ควรเป็นวิชาที่สอนให้คนรู้จักรากเหง้าของชนชาติตัวเอง เพื่อให้เป็นส่วนหนึ่งของการรวมศูนย์ทางจิตใจ  ไม่ควรไปมุ่งเน้นเรื่องความขัดแย้งของคนในชาติ / ระหว่างชาติ   ในอดีตหาก จะมีก็ควรชี้ให้เห็นถึงจุดอ่อนและข้อบกพร่อง เพื่อป้องกันมิให้เกิดข้อผิดพลาดอีกในคนรุ่นต่อๆมา
๘.   ความเกลียดชัง ทำให้เกิดความไม่สงบสุข เกิดความขัดแย้งแตกแยก ความระแวง ทำให้ทุกคนที่เกี่ยวข้อง ล้วนไม่มีความสุข ถ้าเป็นปัญหาระดับประเทศก็ขาดไมตรีระหว่างประเทศ หากเป็นกลุ่มประเทศ อาจลุกลามเป็นสงครามในภูมิภาคและสงครามโลกได้ในที่สุด
๙.     เมื่อมีข้อขัดแย้ง ข้อพิพาท ก็ควรถกกันอย่างมิตร หากเริ่มรู้สึกว่า มีการใช้อารมณ์ มากกว่า เหตุผล ควร ยุติไว้เสียก่อน การถกกันอย่างมิตร แม้ท้ายสุดยังเห็นไม่ตรงกัน แต่การได้มีโอกาสรับฟังเหตุผลของอีกฝ่าย ย่อมทำให้ เกิดประโยชน์ได้บ้าง ไม่ควรสร้างวาทะกรรมที่สร้างความเกลียดชังแบบรวมกลุ่ม เพราะยิ่งทำให้ คนเกลียดชังกัน โดยไร้เหตุผลมากขึ้น ควรสร้างองค์กรตรวจสอบที่เป็นธรรม เป็นที่ยอมรับของคนส่วนใหญ่ เพื่อตัดสิน แยกแยะว่า สิ่งใดผิด สิ่งใดถูก คนผิดควรได้รับการลงโทษ ตามกฎหมาย ที่สำคัญทุกคน ต้องอยู่ ภายใต้การบังคับใช้กฎหมายเหมือนๆกัน
๑๐.   สื่อสาธารณะทุกที่ต้องมีจรรยาบรรณ และ ต้องมีความรับผิดชอบต่อสังคมและโลก เพราะสื่อมีผลต่อการทำให้ความขัดแย้งลดลงหรือลุกลามได้มากขึ้น ประชาชนควรมีช่องทางรับข่าวสาร ทั้งในประเทศ / ต่างประเทศ ได้อย่างหลากหลาย และควรใช้วิจารณญาณ แยกแยะ ความผิดถูก มิใช่ เชื่อเพราะบอกต่อกันมา ส่งต่อโดยมิได้ตรวจสอบ ที่ผ่านมาด้วยอิทธิพลของสื่อตะวันตก ทำให้คนมองเห็นด้านเดียวของปัญหา การเสียชีวิตของคนบางพื้นที่ จากความขัดแย้งไม่เป็นข่าว ทำให้ข่าวสารมายังผู้รับทางเดียว ย่อมทำให้ ภาพของปัญหาความเข้าใจบิดเบี้ยวไปจากความเป็นจริงได้มาก
๑๑.  เราจะแก้ไขความเกลียดชังได้อย่างไร ในเมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้นหลายชั่วคน เรื่องนี้ คงไม่มีคำตอบ หากมีผู้ตระหนัก และพยายามแก้ปัญหานี้ไม่มากพอ เราคงหมดหวังที่จะแก้ปัญหานี้ได้ ในคนรุ่นปัจจุบัน ถ้าจะทำ ต้องให้คนรุ่นต่อไป ที่จะรับช่วงภาระของโลกนี้ ไป ช่วยกันหาวิธี ลดความเกลียดชัง ให้ลดลง หรืออย่างน้อยถ้า ลดไม่ได้ ก็อย่าให้ความเกลียดชังกันขยายตัวไปมากกว่านี้เลย
๑๒. ขอจบด้วยกลอนบทนี้ ที่เขียนขึ้น ท่ามกลางความเกลียดชังที่ถาโถมบนโลกใบนี้ของเรา ด้วยหวังว่า จะมี บางคน ที่เห็นตรงกัน ช่วยกัน ทำให้สังคมโลกของเราอยู่ร่วมกันด้วยความสงบสุข และร่มเย็น ด้วยเถิด
ยุติความรุนแรงทุกแห่งเถิด
อย่าให้เกิดความเกลียดชังดังที่เห็น
โลกเราร้อน คุกรุ่นไอ แสนลำเค็ญ
ขออย่าเป็น คนสุมไฟ ให้ลุกลาม
ชาญชัย ปวงนิยม
๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๘