การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ ฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูกาลที่เกิดขึ้นในระยะนี้ ไม่ได้เกิดเฉพาะในบ้านเรา แต่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับสภาพแวดล้อมทั่วโลก ที่ปัจจุบันมีความเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ค่อนข้างรุนแรง เป็นการท้าทายความสามารถของมนุษยชาติที่จะปรับตัว รักษาความสมดุล เพื่อปกป้องความเป็นอยู่ของสิ่งมีชีวิตทั้งมวลในโลก ให้อยู่รอดได้อย่างมีคุณภาพ ในยุคที่โลกกำลังบอบช้ำจากการใช้ชีวิตของมนุษย์ยุคปัจจุบัน ที่ส่งผลทำลายความสมดุลตามธรรมชาติอย่างมากและรวดเร็ว ทุกคนจึงต้องตระหนักถึงความจำเป็นที่จะต้องให้ความร่วมมือ ในการใช้ชีวิตให้สอดคล้องกับความเป็นไปของธรรมชาติของโลกและชีวิตให้มากขึ้น
ข่าวคราวแรกที่จะแจ้งให้สมาชิกได้รับทราบคือ ขอเชิญชวนสมาชิกทุกท่านได้ร่วมกิจกรรม “บูชาคุณหลวงพ่อคำเขียน สุวณฺโณ” ที่ได้นำกำหนดการและรายละเอียดต่างๆ มาให้ได้ทราบ..............พร้อมด้วยตารางกิจกรรมของ “อาศรม มาตา” สถานปฏิบัติธรรมสำหรับผู้หญิงก็มาลงไว้ให้สมาชิกที่สนใจ ได้หาโอกาสไปร่วมปฏิบัติธรรม............... ข้อคิดแรกที่นำมาให้สมาชิกได้อ่านกันคือ “รู้จักคำว่าพอ” และ “ให้ทางรอดแก่ผู้อื่นก็คือการให้ทางรอดแก่ตนเอง” เป็นนิทานสั้นๆที่ให้ข้อคิดในการดำเนินชีวิต...............พวกเราต่างก็ได้สร้างประสบการณ์เรียนรู้ การใช้ชีวิตด้วยการปฏิบัติธรรมในรูปแบบต่างๆ “ตัวชี้วัดว่า ตื่นตัวแค่ไหน” ของ ดร.วรภัทร ภู่เจริญ ก็จะสรุปประเด็นสำคัญของผลที่จะเกิดกับผู้ปฎิบัติธรรม............สุดท้าย พระไพศาล วิสาโล ได้เล่าถึง ให้เราได้ทราบถึงแนวการสอนของหลวงพ่อคำเขียน สุวณฺโณ “ในทุกข์มีความไม่ทุกข์” เพื่อให้เราได้ฝึกฝนตัวเราให้ได้สัมผัสสาระที่ซ่อนอยู่ในชีวิตประจำวันของเรา ในโอกาสเข้าพรรษานี้
หนังสือที่ทางกลุ่มฯมอบเป็นธรรมบรรณาการให้กับสมาชิกในครั้งนี้คือหนังสือเรื่อง “ จิตตานุภาพ ” ของ อาจารย์ไพเราะ ทิพยทัศน์ จากอาศรมมาตา
“โลกให้กับเรามามากมาย เราต้องดูแลโลกบ้าง”
“ส่งชัย”
ฝ่ายโรเนียวเอกสารและบรรจุเอกสาร ขอเชิญชวนอาสาสมัครมาช่วยโรเนียวและบรรจุซองเอกสารในวันเสาร์ที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๕๘ เวลา ๑๓.๓๐ ณ บ้านเลขที่ ๑๘๘/๑๓๓ ซอยสายใต้เก่า ถนนจรัญสนิท-วงศ์ ซอยอยู่ตรงข้ามธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด สาขาสามแยกไฟฉาย โทร. ๐๘๔ - ๖๖๑๙๒๖๘
ฝ่ายกิจกรรมพิเศษ
- มูลนิธิหลวงพ่อเทียน สอนปฏิบัติการเจริญสติแบบเคลื่อนไหวตามแนวหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ
ทุกวันที่ ๑ – ๗ ของทุกเดือน โดย พระอาจารย์ อเนก เตชวโร
สถานที่ปฏิบัติธรรม
กรุงเทพฯ – ปริมณฑล
๑. มูลนิธิหลวงพ่อเทียน อาจารย์ อเนก เตชวโร โทร. ๐๒ – ๔๒๙๒๑๑๙
๒. วัดสนามใน บางกรวย นนทบุรี โทร. ๐๒ – ๘๘๓๗๒๕๑
๓. สำนักสงฆ์ปลายนา พระอาจารย์โกสินทร์ โทร. ๐๘๖ – ๘๓๑๗๕๒๐
ต่างจังหวัด
๑. วัดป่าสุคะโต ติดต่อ คุณสุนทรี ศรีพล โทร. ๐๘๗ – ๐๒๒๙๑๐๒
๒. วัดป่าสันติธรรม อุทยานแห่งชาติตาดโตน ต. ท่าหินโงม อ.เมือง จ. ชัยภูมิ
ติดต่อ พระอาจารย์ครรชิต อกิญฺจโน โทร. ๐๘๑ – ๒๘๒ – ๓๔๖๕
๓. สวนโมกขพลาราม วันที่ ๑๘ - ๒๗ ของทุกเดือน คนไทยติดต่อ ธรรมทานมูลนิธิ
โทร. ๐๗๗ – ๔๓๑๕๕๒ , ๐๗๗ – ๔๓๑๕๙๖ , ๐๗๗ - ๔๓๑๖๖๑-๒
๔. ธรรมาศรมธรรมมาตา สวนโมกขพลาราม โทร. ๐๗๗ – ๔๓๑๕๙๖ – ๗, ๐๗๗ – ๔๓๑๖๖๑ – ๒
โทรสาร ๐๗๗ – ๔๓๑๕๙๗
๕. มูลนิธิอาศรมมาตา ๖๗ หมู่ ๗ ต. ภูหลวง อ. ปักธงชัย จ. นครราชสีมา ๓๐๑๕๐
ติดต่อ อุบาสิกาทิพวรรณ ทิพยทัศน์ โทร. ๐๘๗ – ๒๕๔ – ๕๔๔๗
คุณพิชามญชุ์ ( ไก่ ) โทร. ๐๘๑ – ๙๑๓ – ๕๐๓๑
E – Mail ASHRAMMATA@GMAIL.COM
อุปมาของความยึดมั่น
อุปมาของความยึดมั่นถือมั่นเปรียบด้วยนางชะนีลูกอ่อน มือหนึ่งกอดลูก มือหนึ่งกอดกิ่งไม้ ขาแขนกอดกิ่ง ลำต้น ไม่ยอมวางปล่อยสิ่งนั้น ก็กอดสิ่งนี้เรื่อยไป ฉันใด
ใจเมื่อรู้และละสิ่งใด ก็กลับไปยึดมั่นในสิ่งอื่นที่ละยากขึ้นอีกเรื่อยไป ละเรื่องนั้น มาติดเรื่องนี้ เหมือนนางชะนีกอดลูก กอดกิ่งไม้ ปล่อยกิ่งนั้น จับกิ่งนี้เรื่อยไปไม่มีที่สิ้นสุด จนกว่าใจนั้นจะสลดสังเวชเข็ดขยาดต่อ
ความยึดมั่นถือมั่น และเริ่มคลายความยึดมั่นถือมั่นด้วยอุปทานใน รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ
จากหนังสือ เซ็นในสวนโมกข์
******* ข่าวประชาสัมพันธ์*******
กำหนดการงานบูชาคุณหลวงพ่อคำเขียน สุวณฺโณ ครั้งที่ ๑
“เห็น...ไม่เป็น...”
หากถามใครสักคนที่มีโอกาสได้พบ หลวงพ่อคำเขียน สุวณฺโณ ว่ารู้สึกอย่างไร คำตอบที่ได้อาจหลากหลายออกไป แต่เกือบทุกคำตอบจะกล่าวว่า “ หลวงพ่อท่านเมตตามาก อยู่ใกล้ท่าน สัมผัสได้ถึงความสงบ เย็น ” ซึ่งความเมตตาของหลวงพ่อนั้นไม่มีที่สุดไม่มีประมาณ ต่อทุกสรรพสิ่งที่แวดล้อมหลวงพ่ออยู่ ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ สิ่งของ ป่าไม้ แม่น้ำ ภูเขา ธรรรมชาติ และคุณลักษณะที่โดดเด่นอีกอย่างของหลวงพ่อคือความเรียบง่าย โดยตลอดชีวิตของหลวงพ่อผู้ซึ่งมักกล่าวเสมอว่า “ หลวงพ่อเป็นพระชาวบ้าน ” นั้น ได้สร้างคุณูปการให้กับคนรุ่นหลังไว้อย่างมากมาย ซึ่งหลวงพ่อบอกว่า “ ที่หลวงพ่อเป็นแบบนี้เพราะกัมมัฏฐาน ” ที่หลวงพ่อ
ได้รับการถ่ายทอดมาจากหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ ผู้ที่หลวงพ่อมักจะกล่าวถึงด้วยความเคารพว่า “ เดินตามพ่อ ก่อตามครู ศิษย์มีครู ” และตัวหลวงพ่อเองก็เป็นครูผู้สอนสั่งผ่านทุกคำพูดและการกระทำตลอดเวลา แล้วแต่ว่าผู้ใดจะเก็บเกี่ยวได้มากน้อยแค่ไหน ผู้ที่เคยได้กราบท่านจะทราบดีในเรื่องนี้
ณ ปัจจุบันหลวงพ่อได้ละสังขารไปแล้ว โอกาสในการได้พบหลวงพ่อ ได้รู้จัก เรียนรู้จากหลวงพ่อโดยตรงไม่มีแล้ว แต่การเรียนรู้ ศึกษา ผ่านชีวิตของหลวงพ่อก็ยังเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่สนใจต่อไป
คณะศิษย์หลวงพ่อจึงได้เห็นร่วมกันว่าจะจัดงานบูชาคุณหลวงพ่อคำเขียนและเผยแผ่ชีวิตของท่านให้ขยายออกไปในวงกว้างเพื่อประโยชน์ต่อชีวิตและสรรพสิ่งอื่นๆต่อไป โดยจะจัดในเดือนสิงหาคมของทุกปี ซึ่งเป็นเดือนที่หลวงพ่อเกิดและมรณภาพ
วัตถุประสงค์
เพื่อเปิดโอกาสให้บุคคลที่สนใจในการศึกษา-ปฏิบัติธรรม หรือกลุ่มศิษย์ที่ไม่มีโอกาสได้สัมผัสกับหลวงพ่อ ไม่มีโอกาสได้รู้จักหลวงพ่อ ได้เรียนได้รู้ชีวิตของหลวงพ่อ ผ่านการเสวนา คำสอน และยังได้เรียนรู้วัตรปฏิบัติของท่านผ่านนิทรรศการ และสื่อต่างๆ อีกทั้งมีโอกาสเข้าถึงคำสอนและเป็นจุดเริ่มต้นในการปฏิบัติการเจริญสติแนวเคลื่อนไหวที่ท่านปฏิบัติ อันเป็นหนทางที่จะนำไปสู่การพ้นทุกข์ได้ด้วยตนเอง
และยังเป็นโอกาสที่ลูกศิษย์ของหลวงพ่อจะได้มารวมตัวกันรำลึก ทบทวนคำสอนของหลวงพ่อ และได้ปฏิบัติบูชาคุณหลวงพ่ออีกวาระหนึ่งอย่างพร้อมเพรียงกัน
กลุ่มเป้าหมาย
ผู้ที่สนใจศึกษาและปฏิบัติธรรม เน้นกลุ่มวัยทำงานและคนรุ่นใหม่
ผู้ปฏิบัติธรรมเจริญสติแนวเคลื่อนไหวของหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ
กิจกรรมภายในงาน
๑. การปฏิบัติธรรม-เจริญสติ
๒. การใส่บาตร
๓. เวทีเสวนา และการแสดงปาฐกถา
๔. นิทรรศการ (จัดแสดงต่อเนื่องตลอดเดือนสิงหาคม)
๔.๑ ประวัติ(ที่มี)ชีวิตหลวงพ่อ
๔.๒ อุบายธรรมและคำสอนของหลวงพ่อ
๕. บอร์ดเขียนข้อความ “เห็น...ไม่เป็น...”
๖. การออกร้าน (นำรายได้สมทบทุนในการจัดงานปี ๕๘ และปีต่อไป)
รายการของที่ร่วมออกร้าน
๖.๑ ชมรมเพื่อนคุณธรรม นำเสื้อยืด ๓ แบบร่วมออกร้าน
อุปกรณ์สอนธรรม
รู้ซื่อๆ
ไม่เป็นอะไรกับอะไร
๖.๒ ผู้ผลิตเสื้อยืดเป่ายิ้งฉุบ สนับสนุนเสื้อ “ เห็น...ไม่เป็น...” จำนวน ๒๐๐ ตัว
๖.๓ ซีดี , ดีวีดี
จัดทำโดย กองทุนโตสื่อพระธรรม
ดีวีดีธรรมหรรษาสู่วัดป่าสุคะโตและธรรมเทศนาของครูบาอาจารย์
๖.๔ หนังสือ “ ธรรม ธรรมชาติหลวงพ่อคำเขียน ” จากคุณพรทิพย์ จำนวน ๑๐๐ เล่ม
๖.๕ ผ้ามัดย้อมสีธรรมชาติ จากคีรีวง
กำหนดการ
กำหนดการช่วงที่ ๑
ณ หอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ (สวนโมกข์ กรุงเทพฯ)
วันเสาร์ที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๕๘
๐๙.๐๐- ๑๖.๐๐ น. ปฏิบัติบูชา ณ ห้องปฏิบัติรรรม ชั้น ๒
นำปฏิบัติโดยพระอาจารย์สุทธิศาสตร์ ปัญญาปทีโป และพระอาจารย์สันติพงศ์
เขมปัญโญ
๑๖.๓๐- ๑๘.๐๐ น. ลงทะเบียนกลุ่มปฏิบัติบูชา (กลุ่มที่ ๒) และกางเต๊นท์ (รับไม่จำกัด)
มีกลุ่มที่พักค้างแรม ณ สวนโมกข์ กรุงเทพ และกลุ่มที่ไม่พักค้างแรม ณ สวนโมกข์
๑๘.๐๐ - ๑๙.๐๐ น. ทำวัตรเย็น ฟังธรรม บริเวณสวนพุทธธรรม นำโดยพระอาจารย์ทรงศิลป์ สุจิณโณ
๑๙.๐๐ - ๒๒.๐๐น. ปฏิบัติเก็บอารมณ์เข้มบริเวณสวนพุทธธรรม / ลานหินโค้ง
วันอาทิตย์ที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๕๘
๐๓.๐๐ – ๐๔.๐๐ น. ตื่นนอน และเก็บเต๊นท์ให้เรียบร้อย
๐๔.๐๐ – ๐๖.๐๐ น. ทำวัตรเช้า / ปฏิบัติบูชา บริเวณสวนพุทธธรรม / ลานหินโค้ง
๐๗.๓๐ – ๐๘.๓๐ น. ตักบาตร และถวายภัตตาหารเช้า
๐๙.๐๐ – ๐๙.๑๕ น. กล่าวเปิดงาน โดยหลวงพ่อมหาไหล โฆษโก
๐๙.๐๐ – ๑๑.๐๐ น. ปฏิบัติบูชา ณ ห้องปฏิบัติธรรมชั้น ๒
นำปฏิบัติโดยพระอาจารย์สุทธิศาสตร์ ปัญญาปทีโป และพระอาจารย์สันติพงศ์
เขมปัญโญ
๐๙.๓๐ – ๑๑.๐๐ น. เสวนา เวทีที่ ๑ หัวข้อ รำลึกคุณหลวงพ่อ
ดำเนินรายการ - คุณประสาน อิงคนันท์
แขกรับเชิญ - พระอาจารย์วิมล จตฺตมโล
- พระอาจารย์ยูกิ นรเทโว
- แม่ชีนันทนา พรหมมลมาศ
- คุณหมอประสาท เรืองสุขอุดม
- คุณนวคุณ พจน์ชพรกุล
๑๑.๐๐ – ๑๒.๐๐ น. ถวายภัตตาหารเพล / รับประทานอาหารกลางวัน
๑๒.๐๐ – ๑๒.๓๐ น. การแสดงดนตรีจากผู้พิการทางสายตา
“ คุณจ้อย ธรรมจักร ”
๑๒.๔๕ – ๑๔.๓๐ น. เสวนา เวทีที่ ๒ หัวข้อ “ เห็นทุกข์ ไม่เป็นทุกข์ ”
ดำเนินรายการ – คุณสุนิษา สุขบุญสังข์
แขกรับเชิญ – อาจารย์ประมวล เพ็งจันทร์
- คุณพิทยากร ลีลาภัทร์
- คุณจรินทร์พร จุนเกียรติ
๑๔.๔๕ – ๑๕.๓๐ น. ปาฐกถาโดยพระอาจารย์ไพศาล วิสาโล
หัวข้อ “เห็น....ไม่เป็น”
๑๕.๔๕ – ๑๗.๑๕ น. เสวนา เวทีที่ ๓ หัวข้อ “ สนุกป่วย...ตายสงบ ”
ดำเนินรายการ - คุณสินีนาฎ ประเสริฐภักดี
แขกรับเชิญ - พระอาจารย์ครรชิต อกิญจโน
- พระอาจารย์สุทธิศาสตร์ ปัญญาปทีโป
- คุณอาริยา โมราษฏร์
- คุณวรรณา จารุสมบูรณ์
๑๗.๓๐ – ๑๘.๐๐ น. สวดมนต์ทำวัตรเย็น (ปิดงาน) บริเวณลานหินโค้ง
นำสวดโดยพระอาจารย์ทรงศิลป์ สุจิณโณ
พิธีกรหลัก ๑. คุณแขลดา จิตตปัญญา
๒. คุณสุนันทา โรจน์เรืองไร
กำหนดการช่วงที่ ๒
ตามรอยหลวงพ่อคำเขียน สุวณฺโณ ณ วัดป่าสุคะโต อำเภอแก้งคร้อ จังหวัดชัยภูมิ
วันศุกร์ที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๕๘
๐๕.๓๐ น. ลงทะเบียนที่สวนโมกข์กรุงเทพ
๐๖.๐๐ น. ออกเดินทางจากสวนโมกข์กรุงเทพ แวะรับประทาน อาหารเช้า
๑๔.๐๐ น. ถึงวัดภูเขาทอง นำชมบริเวณวัด, ศูนย์เด็กเล็ก, ต้นนิโครธ, พิพิธภัณฑ์ และเสาอโศก
๑๕.๓๐ น. ร่วมเดินตามรอยหลวงพ่อจากวัดภูเขาทองสู่วัดป่าสุคะโต
๑๖.๓๐ น. ถึงวัดป่าสุคะโตแล้วดื่มน้ำปานะ และเข้าที่พัก
๑๘.๐๐ - ๒๐.๓๐ น. ทำวัตรเย็น, ปฏิบัติบูชา
วันเสาร์ที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๕๘
๐๔.๐๐ – ๐๗.๐๐ น. ทำวัตรเช้า, ปฏิบัติบูชา
๐๗.๓๐ – ๐๘.๓๐ น. ฉันเช้า / รับประทานอาหารเช้า
๐๘.๓๐ – ๑๑.๐๐ น. ปฏิบัติบูชา
๑๑.๐๐ - ๑๒.๐๐ น. ฉันเพล / รับประทานอาหารเพล
๑๒.๐๐ – ๑๓.๐๐ น. นำชมสุคะโต, พิพิธภัณฑ์หลวงพ่อ, บริเวณลานหินโค้ง ธรรมจักร
๑๓.๐๐ – ๑๖.๐๐ น. ปฏิบัติบูชา
๑๘.๐๐ – ๐๔.๓๐ น. ปฏิบัติบูชาเนสัชิก (ตามความสมัครใจ) ที่กุฏิหลวงพ่อ
วันอาทิตย์ที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๕๘
๐๔.๐๐ – ๐๗.๐๐ น. ทำวัตรเช้าที่กุฏิหลวงพ่อ / ปฏิบัติบูชา
๐๗.๓๐ – ๐๘.๓๐ น. ฉันเช้า / รับประทานอาหารเช้า
๐๘.๓๐ – ๑๑.๐๐ น ร่วมกิจกรรมกับทางวัด
๑๑.๐๐ – ๑๒.๐๐ น. ฉันเพล / รับประทานอาหารเพล
๑๒.๐๐ น. เดินทางกลับกรุงเทพ
………………………………………
อาศรมมาตา
ตารางการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานครั้งที่ ๑๐๒ /๐๗ / ๒๕๕๘ ( ๓๐ กรกฎาคม – ๓ สิงหาคม ๒๕๕๘ )
ณ. อาศรมมาตา เขต๑ ( ศาลาสิริวรุณ และทางเดินจงกรมสวนไทร-ร่มพฤกษา)
งดพูดคุยกันเองโดยไม่จำเป็น และ ปฎิบัติกรรมฐานอย่างมีสติตลอดเวลา
พฤหัสบดีที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๕๘ (วันแรกของการปฏิบัติ )
๑๒.๐๐ น. - ๑๔.๐๐ น. ลงทะเบียน, รับป้ายชื่อ, ตารางการปฏิบัติธรรม, กุญแจกุฏิ ที่ศาลาสิริวรุณ
๑๔.๓๐ น. - ๑๗.๐๐ น. ปฐมนิเทศ, ดูดีวีดี อาศรมมาตา, สวดมนต์, สมาทานกรรมฐาน
๑๗.๐๐ น. - ๑๘.๓๐ น. ทานน้ำปานะ ที่ครัวเสบียงบุญ , เข้าที่พัก, ทำกิจส่วนตัว
๑๘.๓๐ น. - ๒๑.๓๐ น. ธรรมบรรยาย, เดินจงกรม นั่งสมาธิ ที่ศาลาสิริวรุณ
๒๑.๓๐ น. พักผ่อนด้วยความมีสติ
๑๒.๐๐ น. - ๑๔.๐๐ น. ลงทะเบียน, รับป้ายชื่อ, ตารางการปฏิบัติธรรม, กุญแจกุฏิ ที่ศาลาสิริวรุณ
๑๔.๓๐ น. - ๑๗.๐๐ น. ปฐมนิเทศ, ดูดีวีดี อาศรมมาตา, สวดมนต์, สมาทานกรรมฐาน
๑๗.๐๐ น. - ๑๘.๓๐ น. ทานน้ำปานะ ที่ครัวเสบียงบุญ , เข้าที่พัก, ทำกิจส่วนตัว
๑๘.๓๐ น. - ๒๑.๓๐ น. ธรรมบรรยาย, เดินจงกรม นั่งสมาธิ ที่ศาลาสิริวรุณ
๒๑.๓๐ น. พักผ่อนด้วยความมีสติ
ศุกร์ที่ ๓๑ กรกฎาคม - อาทิตย์ที่ ๒ สิงหาคม ๒๕๕๘ (วันที่ ๒ – ๔ ของการปฏิบัติ )
๐๔.๐๐ น. ตื่นนอน ทำกิจส่วนตัว
๐๕.๐๐ น. - ๐๗.๐๐ น. ปฏิบัติธรรม ที่ศาลาสิริวรุณ
๐๗.๐๐ น. - ๐๘.๐๐ น. รับประทานอาหารเช้า
๐๘.๓๐ น. - ๑๑.๐๐ น. ปฏิบัติธรรม, แนะนำการปฏิบัติ ที่ศาลาสิริวรุณ
๑๑.๐๐ น. - ๑๒.๐๐ น. รับประทานอาหารเที่ยง ๑๒.๐๐ น. - ๑๓.๐๐ น. พักทำกิจส่วนตัวด้วยความมีสติ
๑๓.๐๐ น. - ๑๗.๐๐ น. ปฏิบัติธรรม, แนะนำการปฏิบัติ ที่ศาลาสิริวรุณ
๑๗.๐๐ น. - ๑๘.๓๐ น. ทานน้ำปานะ, พักทำกิจส่วนตัว
๑๘.๓๐ น. - ๒๑.๓๐ น. ปฏิบัติธรรม, ธรรมบรรยาย ที่ศาลาสิริวรุณ
๒๑.๓๐ น. พักผ่อนด้วยความมีสติ
๐๔.๐๐ น. ตื่นนอน ทำกิจส่วนตัว
๐๕.๐๐ น. - ๐๗.๐๐ น. ปฏิบัติธรรม ที่ศาลาสิริวรุณ
๐๗.๐๐ น. - ๐๘.๐๐ น. รับประทานอาหารเช้า
๐๘.๓๐ น. - ๑๑.๐๐ น. ปฏิบัติธรรม, แนะนำการปฏิบัติ ที่ศาลาสิริวรุณ
๑๑.๐๐ น. - ๑๒.๐๐ น. รับประทานอาหารเที่ยง ๑๒.๐๐ น. - ๑๓.๐๐ น. พักทำกิจส่วนตัวด้วยความมีสติ
๑๓.๐๐ น. - ๑๗.๐๐ น. ปฏิบัติธรรม, แนะนำการปฏิบัติ ที่ศาลาสิริวรุณ
๑๗.๐๐ น. - ๑๘.๓๐ น. ทานน้ำปานะ, พักทำกิจส่วนตัว
๑๘.๓๐ น. - ๒๑.๓๐ น. ปฏิบัติธรรม, ธรรมบรรยาย ที่ศาลาสิริวรุณ
๒๑.๓๐ น. พักผ่อนด้วยความมีสติ
จันทร์ที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๕๘ (วันสุดท้ายของการปฏิบัติ )
๐๔.๐๐ น. ตื่นนอน ทำกิจส่วนตัว
๐๕.๐๐ น. - ๐๗.๐๐ น. ปฏิบัติธรรม , แผ่ส่วนกุศล แผ่เมตตา ที่ศาลาสิริวรุณ
๐๗.๐๐ น. - ๐๘.๐๐ น. รับประทานอาหารเช้า
๐๘.๓๐ น. - ๑๑.๓๐ น. ตอบปัญหา, แนะนำการปฏิบัติ เมื่อกลับบ้าน, สมาทานศีล ๕,
๑๑.๓๐ น. - ๑๒.๓๐ น. รับประทานอาหารเที่ยง
๑๒.๓๐ น. ทำความสะอาดกุฏิที่พัก , คืนป้ายชื่อ, กุญแจกุฏิ และสิ่งของที่ยืม
๐๔.๐๐ น. ตื่นนอน ทำกิจส่วนตัว
๐๕.๐๐ น. - ๐๗.๐๐ น. ปฏิบัติธรรม , แผ่ส่วนกุศล แผ่เมตตา ที่ศาลาสิริวรุณ
๐๗.๐๐ น. - ๐๘.๐๐ น. รับประทานอาหารเช้า
๐๘.๓๐ น. - ๑๑.๓๐ น. ตอบปัญหา, แนะนำการปฏิบัติ เมื่อกลับบ้าน, สมาทานศีล ๕,
๑๑.๓๐ น. - ๑๒.๓๐ น. รับประทานอาหารเที่ยง
๑๒.๓๐ น. ทำความสะอาดกุฏิที่พัก , คืนป้ายชื่อ, กุญแจกุฏิ และสิ่งของที่ยืม
หมายเหตุ ตารางอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ตามความเหมาะสม
วิทยากร อาจารย์ พญ.ผกา วราชิต
ปิดการอบรม
ประวัติ พญ.ผกา วราชิต
วิทยากร อาจารย์ พญ.ผกา วราชิต
ปิดการอบรม
ประวัติ พญ.ผกา วราชิต
- อายุ ๕๘ ปี (๒๕๕๔ ) จบแพทยศาสตร์ จาก จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปี ๒๕๑๙
- รับราชการ เป็นแพทย์อยู่ โรงพยาบาลพระอาจารย์ฝั้น จ.สกลนคร ๒ ปี
- ศึกษาต่อต่างประเทศ ๓ ปี วุฒิบัตรจักษุวิทยา
- รับราชการ โรงพยาบาลอุดรธานี ๑๐ ปี
- เป็นจักษุแพทย์ โรงพยาบาลรัตนิน ตั้งแต่ ปี พ.ศ .๒๕๓๔ จนถึงปัจจุบัน
- เป็นนายกสามคมแม่บ้านสำนักงานสาธารณสุข ตั้งแต่ปี ๒๕๕๓ จนถึงปัจจุบัน
- เป็นวิทยากรประจำที่ วัดเขาพุทธโคดม จ.ชลบุรี และ ที่อาศรมมาตา อ.ปักธงชัย
จ.นครราชสีมา ตั้งแต่ปี ๒๕๔๓
- บรรยายธรรมตามที่รับเชิญเป็นครั้งคราว
**********************************************
รู้จักคำว่า"พอ"
หมาจิ้งจอกโง่ตัวหนึ่งได้พบกรงไก่ จึงพยายามจะสอดตัวเองผ่านซี่กรงเข้าไป แต่เป็นเพราะตัวเองอ้วนเกินไปสอดยังไง ก็สอดไม่เข้า ก็เลยใช้วิธีการอดอาหารสามวัน ให้ลำตัวเล็กลงจนสามารถสอดลำตัว เข้าไปได้ในที่สุด แต่พอหลังจากกินไก่อิ่มแปล้แล้ว ลำตัวพองขึ้น ไม่สามารถที่จะออกจากกรงได้ ก็เลยต้องเริ่มอดอาหารอีกสามวันจึงออกจากกรงได้ ในที่สุด ก็คิดได้!! จึงปลงสังเวชกับความโง่ตัวเอง ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้เป็นเพราะความอยากของปาก ที่แท้แล้วก็เสียเวลา โดยเปล่าประโยชน์
อันชีวิตของคนเรานั้น ก็ไม่ต่างอะไรกับเช่นนี้เหมือนกัน ตอนเราเกิดมา ก็มาตัวเปล่า ตอนขากลับก็กลับตัวเปล่า ไม่มีใครสามารถนำเอาทรัพย์สมบัติและชื่อเสียงที่สร้างมาตลอดชีวิตเอาติดตัวกลับไปได้ แม้นเราใช้เวลาหรรษาตอนที่เรายังหนุ่มยังแน่นไปหาเงินมา ยากแท้ที่เราจะนำเงินเหล่านี้ไปแลกเวลาครั้งที่เราเป็นหนุ่มสาวกลับมาได้ เอาชีวิตของเราที่แลกกับเงินทองมา ตรงกันข้ามก็ไม่อาจนำเงินก้อนนี้ไปไถ่ชีวิตของเรา กลับคืนมา เอาความสุขของเราไปแลกกับเงินทอง ทางกลับกันไม่อาจ เอาเงินก้อนนี้ไปซื้อ ความสุขและเวลากลับคืนมาได้ แม้นใช้เวลาชั่วชีวิตและสมบัติทั้งโลกมา ก็ไม่อาจซื้อชีวิตของตัวเองได้
เพราะฉะนั้น เวลาทำงานก็ทำงาน เวลาพักผ่อนก็พักผ่อน ขณะทำงานให้รู้จักเก็บเกี่ยวความสุขของชีวิต ให้สงวนคุณค่าที่เรามีอยู่ ให้ถนอมความรักที่เรามีต่อกัน ให้ผ่านพ้นความสุขวันต่อวัน
แม้บ้านราคาแพง คุณก็แค่นอนอยู่บนเตียงตัวเดียว
รถหรูราคาแพง แม้นฝ่าฝืนความเร็ว ก็ต้องเจอใบสั่ง
แม้นกระเป๋าราคาแพงแสนแพง ก็แค่ดีกว่าถุงพลาสติคเท่านั้นเอง
ภรรยาคนอื่นจะสวย เพียงไร สักวันหนึ่งก็ต้องแก่หงำเหงือกเหมือนกัน
สามีคนอื่นจะรวย แสนรวยก็ไม่เท่ากับสามีจนๆของคุณที่รักเดียวใจเดียว
อย่าแสวงหาสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ จงละทิ้งความสุขจอมปลอมที่คุณมีอยู่ เพราะแท้จริงแล้ว ความสุขเกิดขึ้นทุกครั้งทุกครา ถ้าตัวของเราเตือนตัวของเราให้รู้จักคำว่า "พอ" คุณลองชั่งใจ ดูซิว่า ถ้าคุณยอมศูนย์เสียร่างกายของคุณ ๑๐% เพื่อ ต่ออายุให้กับพ่อแม่และทุกคนที่คุณรัก อีกสักสิบปี คุณจะยินยอมไหม
………………………………………….
ให้ทางรอดแก่ผู้อื่น ก็คือการให้ทางรอดแก่ตัวเอง…
สามีภรรยาคู่หนึ่ง รับจ้างเลี้ยงปลาให้กับเถ้าแก่ เถ้าแก่จ่ายเงินเดือนให้แก่สามีภรรยาคู่นี้เดือนละ ๕,๐๐๐บาท บ้านพัก ข้าวสารอาหารแห้งและของใช้เถ้าแก่เป็นผู้จัดหามาให้ เขาทั้งสองคน มีหน้าที่ให้อาหารปลาวันละ ๒ รอบ รอบเช้า ๑ รอบ และรอบเย็นอีก ๑ รอบ นอกเหนือจากนั้น แล้วแต่สองสามีภรรยาจะจัดการกับชีวิตอย่างไร
เถ้าแก่ไม่ได้จำกัดกับชีวิตส่วนตัวของลูกน้อง เขามาที่บ่อเลี้ยงปลาเพียงแค่ต้นเดือน กลางเดือน และปลายเดือน ซึ่งเป็นช่วงที่ต้องนำอาหารปลามาให้ และถือเป็นการนำข้าวของเครื่องใช้มาให้ลูกน้อง อีกทั้งถือเป็นการมาถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ
เมื่อผ่านไป ๒ ปี ปลาในบ่อทำกำไรให้เถ้าแก่ ๔ แสนบาท เถ้าแก่ดีใจเป็นอย่างยิ่ง เขาจึงนำเงิน ๑ หมื่นบาทมอบให้ลูกน้องเพื่อเป็นกำลังใจ และอนุญาตให้กลับไปเยี่ยมบ้านเกิดได้ ๑ เดือน ส่วนค่าเดินทางก็มอบให้อีกจำนวนหนึ่ง
เมื่อภรรยาของเถ้าแก่รู้เข้า ก็โมโหเป็นอย่างยิ่ง “คุณจะบ้าเหรอ? สมองบวมน้ำหรือยังไง? เงินเดือนก็จ่ายเต็มที่ บ้านก็ไม่ต้องเช่าข้าวก็ไม่ต้องซื้อ นี่ยังแถมทั้งเงินเหมื่นและเงินค่ารถอีก ทำอะไรทำไมไม่ปรึกษาฉันก่อน”เถ้าแก่ได้แต่หัวเราะ จากนั้นก็บอกกับภรรยาว่า “ผมจะเล่าอะไรให้คุณฟัง...."
เมื่อผ่านไป ๒ ปี ปลาในบ่อทำกำไรให้เถ้าแก่ ๔ แสนบาท เถ้าแก่ดีใจเป็นอย่างยิ่ง เขาจึงนำเงิน ๑ หมื่นบาทมอบให้ลูกน้องเพื่อเป็นกำลังใจ และอนุญาตให้กลับไปเยี่ยมบ้านเกิดได้ ๑ เดือน ส่วนค่าเดินทางก็มอบให้อีกจำนวนหนึ่ง
เมื่อภรรยาของเถ้าแก่รู้เข้า ก็โมโหเป็นอย่างยิ่ง “คุณจะบ้าเหรอ? สมองบวมน้ำหรือยังไง? เงินเดือนก็จ่ายเต็มที่ บ้านก็ไม่ต้องเช่าข้าวก็ไม่ต้องซื้อ นี่ยังแถมทั้งเงินเหมื่นและเงินค่ารถอีก ทำอะไรทำไมไม่ปรึกษาฉันก่อน”เถ้าแก่ได้แต่หัวเราะ จากนั้นก็บอกกับภรรยาว่า “ผมจะเล่าอะไรให้คุณฟัง...."
" มีหมู่บ้านหนึ่ง ชาวบ้านต่างมีอาชีพปลูกลูกพลับ เมื่อถึงฤดูหนาว พวกเขาพากันเก็บลูกพลับจนไม่เหลือคาต้นไว้แม้แต่ลูกเดียว ปีหนึ่งที่อากาศหนาวมากเป็นพิเศษ หิมะก็ตกมากกว่าทุกปี นกสาลิกาจำนวนสองสามร้อยตัวหาอาหารกินไม่ได้ พากันหนาวตายภายในคืนเดียว เมื่อฤดูใบไม้ผลิของอีกปี ต้นพลับก็ผลิใบใหม่ออกมา เมื่อมันเริ่มออกดอก ไม่รู้ว่าหนอนมาจากไหนจำนวนมากมาย พากันกัดกินทั้งดอกและใบของต้นพลับจนเกิดความเสียหายมากมาย ส่วนลูกพลับที่เล็ดรอดมาได้ พอโตสักนิ้วก้อย ก็ถูกหนอนเหล่านั้นกัดกินไปจนหมด ชาวบ้านต่างก็พากันคิดถึงนกสาลิกา หากยังมีนกสาลิกาอยู่ หนอนเหล่านี้ก็คงจะไม่นำภัยมาให้..."
"...จากนั้นเป็นต้นมา เมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยวลูกพลับ ชาวบ้านก็จะเหลือลูกพลับคาไว้บนต้นเพื่อให้เป็นอาหารของนกสาลิกาในหน้าหนาว ลูกพลับสีเหลืองแสดดึงดูดให้นกสาลิกาจำนวนมากให้มาจิกกินในฤดูหนาว นกสาลิกาก็แสนรู้คุณ เมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิก็ไม่ยอมบินจากไป คอยจัดการกับหนอนที่มารังควานต้นพลับ จากนั้นเป็นต้นมา ชาวบ้านก็มีลูกพลับเก็บเกี่ยวอุดมสมบูรณ์ทุกปี"
" ผมเหลือลูกพลับไว้ให้นกสาลิกา กิน คุณว่าผมโง่เหรอ? "
เมื่อภรรยาได้ฟังจบ ก็เข้าใจในทันที
จุดหมายที่เหลือลูกพลับไว้บนต้น ก็เพื่อแบ่งปันให้กับนกสาลิกาได้อยู่รอด
การดูแลให้สวัสดิการแก่ลูกน้อง ก็เพื่อให้ลูกน้องรู้ว่าเถ้าแก่สำนึกคุณพวกเขาเช่นกัน คุณได้มาก คุณให้ลูกน้องมากตาม ความจริงก็คือคุณให้ตัวคุณเองต่างหาก
ให้ทางรอดแก่ผู้อื่น ก็คือ การให้ทางรอดแก่ตัวเอง… Cr : Forward LINE
...............................................................
ตัวชี้วัดว่า “ตื่นรู้” มากแค่ไหน (Key Behavior Indicator)
โดย ดร.วรภัทร์ ภู่เจริญ
๑. สดใสขึ้น ใจว่างๆ โล่งๆ (ใจดี หรือ ดีใจ ไม่เหมือน ใจโล่งๆ นะ) ไม่อมทุกข์ ไม่หน้าบึ้ง
๒. ยิ้มง่ายขึ้น ยิ้มให้คนอื่นก่อน ไม่ต้องรอให้คนอื่นยิ้มให้ก่อน
๓. ไหว้คนอื่นได้ก่อน ไม่มีข้อแม้ ว่าใครต้องไหว้ใครก่อน
๔. ถ่อมตน ไม่เจ้ายศ ไม่เจ้าอย่าง ง่ายๆ ติดดิน
๕. รับผิดชอบงานมากขึ้น ไม่อ้าง ไม่หนี อดทน ยอม
๖. มีเมตตามากขึ้น ใช้เมตตาธรรมนำหน้าเหตุผล
๗. ดู สังเกต มากกว่าที่จะ ด่วนวิจารณ์ ด่วนออกอาการ ด่วนออกอารมณ์ แม้นจะโดนด่า โดนเข้าใจผิด ก็ยัง
อดทน ควบคุมตนเองได้ง่ายๆ ปล่อยๆ ไม่เอาเรื่อง ไม่เอาก็ได้
๘. เปิดโอกาส ให้ผู้อื่นพูดมากขึ้น ฟังมากขึ้น ไม่ด่วน “ สวนกลับ ” ไม่ด่วน “ หักคอ ” ไม่ด่วนสรุป ไม่ด่วน
ฟันธง ไม่แทรกแซง ขณะคนอื่นกำลังพูด อัตราการเต้นของหัวใจปกติ ไม่ตูมตาม เมื่อโดนคนอื่นด่า
๙. ยอมรับ เปิดใจ ยอมรับ ความคิดเห็น ที่แตกต่างได้ รับฟังอีกมุมมองได้
๑๐. ขยันๆ และ “ กล้า ” ลงมือทำ ในเรื่องที่ดี เป็นกุศล ต่างๆ ทันที โดยไม่มีข้อแม้ ไม่เอาเรื่องในอดีต มาทำให้
สะดุด ในการที่จะทำ ไม่เอา เรื่องในอนาคต มาหยุดตนเอง ทำตาม เป้าหมายได้ ไม่วอกแวก รู้จัก focus
๑๑. กตัญญู พ่อแม่ ไปหา ไปดูแล ไปคุย กับผู้มีพระคุณ มากขึ้น ครูเก่า เจ้านาย ที่เคย ช่วยสอน ผู้มีอุปการะคุณ ๑๒. สัตว์เลี้ยงต่างๆ จะเดินเข้ามาหา เพราะคนที่ใจสงบ ตื่นรู้ บรรดาสัตว์ ในธรรมชาติเขาจะรับรู้
๑๓. ไม่เมาบุญ ทำได้ก็ทำ ทำไม่ได้ ก็ไม่เป็นไร
๑๔. "ให้" บริจาค จิตอาสา ทำเพื่อส่วนรวม มากขึ้น
๑๕. รู้สึกว่าตนเอง เป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ รู้สึกว่า ผู้คนกับตัวเอง เป็นเนื้อเดียวกัน ไม่รู้จะทำลายกันไป
ทำไม
๑๖. คบ บัณฑิต หลวงปู่ หลวงพ่อ ที่ดีๆ มากขึ้น ไปหา ไปฟังธรรมจากท่านตามโอกาส
๑๗. ห่างไกล คนพาล อบายมุข
๑๘. รักษาศีล ๕ มากๆ ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ขโมย ไม่ผิดกาม ไม่โกหก หลอกลวง ไม่ดื่มของมึนเมา
๑๙. ชื่นชมผู้คน (Appreciation) ยินดีที่ คนอื่นได้ดี หรือ มี มุทิตา นั่นเอง
๒๐. ไม่นินทาใคร ไม่ทำให้ใคร แตกแยก ชวนให้คนสามัคคีกัน
๒๑. ไม่กังวล หลับสบาย หลับง่าย
๒๒. ไม่ค่อยฝันร้าย เช่น ในฝัน ไม่รู้สึกวิ่งยากลำบาก ก้าวขาไม่ออกอีกต่อไป ไม่ฝันว่าฟันหัก ไม่ฝันว่า
กลับไปเป็นเด็ก แล้วเครียดก่อนสอบอีก
๒๓. ฝันดีบ่อย เช่น เจอพระ เจอคนดีๆ ตื่นขึ้นมาแล้วสดชื่น มีความสุข
๒๔. นึกอะไร อยากได้อะไรที่ดีๆ เป็นกุศล ไม่นานก็จะได้ หรือ มีคนเอามาให้
๒๕. ยอมคน เช่น ยอมให้แซงคิว ยอมให้เอาเปรียบ ยอมให้ต่อว่า ฯลฯ แต่คิด เตือนอย่างนุ่มนวล
๒๖. ไม่ด่วน “ ประเมิน ” ตัดสิน ตัดเกรด แบ่งแยก พิพากษาผู้คน (judgement) ห้อยแขวน (suspend) เอาไว้
ก่อน ดูมากขึ้น เผื่อคาดไม่ถึงบ้าง
๒๗. รักผู้คน แบบไม่มีเงื่อนไข (Unconditional love) ไม่หวังผล ให้ก็คือให้ ไม่มีข้อแม้ ไม่อิจฉา ไม่ริษยา
๒๘. รู้จักสติ ที่ฐานกาย ใช้ “ กายรู้กาย ” ได้มากขึ้น นานขึ้น ต่อเนื่องมากขึ้น รู้ๆ ทุกก้าว ทุกอิริยาบท
๒๙. “ จับ ” ความรู้สึก ที่ “ ใจ ” ของตนเองได้ รู้ว่าใจกุศล อกุศล
๓๐. “ แยกแยะ ” จิต กับ ความคิด ได้ รู้จักความคิดจร (ความคิด นอกแผน ความคิดที่ ไม่ได้ตั้งใจคิด ความคิด
ที่ชวนไปเละเทะ ฟุ้งซ่าน ออกนอกทางฯ ) เป็น นีโอ ที่ สามารถ จับกระสุนความคิด ที่ กิเลสยิงใส่มาได้
๓๑. กลับไปอ่าน หนังสือธรรมะ แล้ว เข้าที่ “ ใจ ” มากขึ้น ร้อง “ อ๋อ ” มากขึ้น
๓๒. ไม่กลัวตาย สิ้นข้อสงสัย และ ไม่งมงาย ในศีลภายนอก
... ขอให้กัลยาณมิตร ทุกท่านมีความสุข ประสบผลสำเร็จ สมดังหมาย ด้วยเทอญ
ในทุกข์ มีความไม่ทุกข์
หลวงพ่อมักพูดบ่อยครั้งว่า..
“ในทุกข์มีความไม่ทุกข์
ในโกรธมีความไม่โกรธ
ในหลงมีความไม่หลง
เปลี่ยนทุกข์ให้กลายเป็นความไม่ทุกข์
เปลี่ยนโกรธให้กลายเป็นความไม่โกรธ
เปลี่ยนหลงให้กลายเป็นความไม่หลง
ความทุกข์ทำให้ไม่ทุกข์
ความโกรธทำให้ไม่โกรธ
ความหลงทำให้ไม่หลง”
ในโกรธมีความไม่โกรธ
ในหลงมีความไม่หลง
เปลี่ยนทุกข์ให้กลายเป็นความไม่ทุกข์
เปลี่ยนโกรธให้กลายเป็นความไม่โกรธ
เปลี่ยนหลงให้กลายเป็นความไม่หลง
ความทุกข์ทำให้ไม่ทุกข์
ความโกรธทำให้ไม่โกรธ
ความหลงทำให้ไม่หลง”
พวกเราที่ฟังคำบรรยายของท่านเป็นประจำคงเห็นเหมือนอาตมาว่า นี่เป็นข้อความที่ท่านพูดบ่อยมาก และถ้าสังเกตให้ดีจะพบว่ามีครูบาอาจารย์น้อยคนที่พูดแบบนี้ หรืออาจไม่มีเลยก็ได้ คงไม่ผิดถ้าจะบอกว่าข้อความแบบนี้เป็นเอกลักษณ์ของหลวงพ่อคำเขียนเลยทีเดียว แต่มันเป็นมากกว่าเอกลักษณ์ เพราะมันมีสาระที่ลึกซึ้ง แฝงอยู่ในข้อความในคำพูดเหล่านั้น ซึ่งแน่นอนว่าไม่ได้มาจากความคิดของท่าน แต่เกิดจากประสบการณ์การปฏิบัติ เกิดจากสภาวธรรมที่ท่านได้เห็นและเข้าถึง
“ในทุกข์มีความไม่ทุกข์ ในโกรธมีความไม่โกรธ ในหลงมีความไม่หลง” ข้อความนี้บอกอะไรเราบ้าง มันบอกเราว่า ความทุกข์ก็ดี ความหลงก็ดี ความโกรธก็ดี มันไม่ใช่เป็นสิ่งที่ต้องกำจัด ถ้าเราต้องการแสวงหาความไม่ทุกข์ แสวงหาความไม่โกรธ แสวงหาความรู้ตัว ก็หาได้จากความทุกข์ ความโกรธ และความหลงนั้นเอง
ผู้คนมักจะเข้าใจว่าความทุกข์ ความโกรธ และความหลงเป็นสิ่งที่ต้องกำจัด แต่หลวงพ่อพูดอีกแบบหนึ่งว่า ไม่ต้องกำจัดมันหรอก เพียงแค่ดูให้ดีๆ ในความทุกข์จะพบความไม่ทุกข์ ในความโกรธจะพบความไม่โกรธ ในความหลงจะพบความไม่หลง นักปฏิบัติธรรมจำนวนมากมักมองความทุกข์ ความโกรธ และความหลงว่าเป็นสิ่งที่ต้องกำจัด ต้องทำลาย จึงนำไปสู่การกดข่มผลักไส วิธีนี้มีประโยชน์สำหรับคนที่ต้องการทำความดีและต้องการรักษาศีล เวลามีความโกรธ ความโลภ ความหลงเกิดขึ้นก็ต้องกดข่มเอาไว้ เช่นอยากจะทำร้ายใคร อยากจะด่าใคร อยากจะขโมยของใคร ก็ต้องกดต้องข่มความอยากเอาไว้โดยอาศัยขันติ คือความอดทน ความอดกลั้น อันนี้เป็นสิ่งจำเป็นพื้นฐานสำหรับการทำความดี
แต่หลวงพ่อสอนให้เราก้าวไปไกลกว่านั้น คือไม่ใช่แค่ทำดีและเว้นชั่ว แต่ควรฝึกจิตให้เห็นความจริง เพราะปัญญาที่เห็นความจริงอย่างแจ่มแจ้งเท่านั้นที่จะช่วยให้พ้นทุกข์ได้ การที่จะมีปัญญาเช่นนั้นได้ก็ต้องเริ่มต้นจากการเห็นความจริงที่ปรากฎใน ลักษณะต่างๆ รวมทั้งความจริงที่มาในรูปของทุกข์ มาในรูปของความโกรธ มาในรูปของความหลง เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นสภาวธรรมที่สามารถสร้างปัญญาให้แก่เราได้
เมื่อมีทุกข์ แทนที่จะกำจัดทุกข์ ก็มาพิจารณาทุกข์ ก็จะเห็นความไม่ทุกข์ซ่อนอยู่ เหมือนกับผลไม้ มันมีเปลือก มีเนื้อที่ห่อหุ้มเมล็ดเอาไว้ ถ้าเราต้องการเมล็ด เราไม่ควรทิ้งผลไม้ เราเพียงแต่ปอกเปลือกและคว้านเอาเนื้อออกมา ก็จะได้เมล็ด ถ้าเมล็ดนั้นคือความไม่ทุกข์หรือความพ้นทุกข์ เราจะพบได้ก็จากความทุกข์ซึ่งเป็นประหนึ่งเปลือกและเนื้อที่ห่อหุ้มเท่านั้น ไม่ใช่จากที่ไหนเลย
ความทุกข์กับความไม่ทุกข์มันอยู่ด้วยกัน เมื่อเราพิจารณาความทุกข์ก็จะเห็นว่าอะไรคือสาเหตุของความทุกข์ และเมื่อเห็นสาเหตุของความทุกข์ ก็จะรู้ว่าสาเหตุของความไม่ทุกข์คืออะไร เวลาเราโกรธ แทนที่จะกดข่มมัน เราลองดูความโกรธ ก็จะเห็นว่าจิตกำลังร้อนรนเหมือนถูกไฟเผา ไฟนั้นคืออะไร คือความโกรธ ความรู้สึกอยากผลักไสอยากทำลาย เมื่อมองให้ลึกลงไปก็จะเห็นว่าที่โกรธก็เพราะรู้สึกว่าตัวกูถูกกระทบถูกบีบ คั้น ความยึดติดถือมั่นในตัวกูทำให้ไม่พอใจขัดเคืองกลายเป็นความโกรธ เวลาเรามีความอยากแล้วเรารู้สึกรุ่มร้อน อันนี้เป็นเพราะตัณหา อยากได้มาเป็นของกู ความยึดมั่นว่าจะต้องเอามาเป็นของกูให้ได้ ทำให้จิตใจรุ่มร้อนเป็นทุกข์ เมื่อมองให้ลึกลงไปจะพบว่า ที่ทุกข์ใจก็เพราะความยึดติดถือมั่นในตัวกูไม่แบบใดก็แบบหนึ่ง ในทำนองเดียวกันเวลาเรารู้สึกหนักอกหนักใจ ถ้าเราดูความหนักอกหนักใจ เราก็จะพบว่าที่มันหนักก็เพราะแบกเอาไว้ ถ้าไม่แบกไม่ยึดก็ไม่รู้สึกหนักอกหนักใจหรือเป็นทุกข์ สาเหตุเหล่านี้เราจะไม่เห็นเลยถ้าเรามัวแต่จะกำจัดมันหรือผลักไสความทุกข์
ความทุกข์มีหลายแบบ แสดงออกมาหลายอาการ ทุกข์บางอย่างคือความหนักอกหนักใจ ทุกข์บางอย่างคือความร้อนรุ่ม ถ้าเรารู้ว่าตอนนี้กำลังหนักอกหนักใจ ก็จะพบต่อไปว่าที่มันหนักก็เพราะแบก ถ้าไม่แบกจะหนักได้อย่างไร ทันทีที่เรารู้ว่ากำลังหนักอกหนักใจ มันก็บอกในตัวว่าเป็นเพราะกำลังแบก และเฉลยต่อไปว่า ถ้าไม่อยากหนักอกหนักใจ ก็ต้องปล่อยวาง ในทำนองเดียวกันทันทีที่รู้ตัวกำลังร้อนรุ่ม มันก็บอกในตัวว่ากำลังถูกเผาด้วยไฟแห่งความโกรธหรือความโลภ และที่ไฟมันยังเผาลนอยู่ได้ก็เพราะไปเติมฟืนเติมเชื้อให้มัน เพียงแค่ไม่เติมฟืนเติมเชื้อ ไฟก็ดับมอดไป ดังนั้นถ้าไม่อยากเป็นทุกข์ ก็ต้องวางฟืนวางเชื้อลงเสีย กล่าวโดยสรุปก็คือ เมื่อรู้ทุกข์ก็เห็นสมุหทัย เมื่อเห็นสาเหตุของทุกข์ ก็จะพบว่าสาเหตุของความไม่ทุกข์นั้นคืออะไร มันเฉลยในตัวอยู่แล้ว
ดังนั้นเมื่อพระพุทธเจ้าอธิบายอริยสัจ ๔ ว่า ได้แก่ทุกข์ และสาเหตุแห่งทุกข์ จากนั้นก็ตรัสถึงสิ่งที่ตรงข้ามกับทุกข์ คือนิโรธ ได้แก่ความไม่มีทุกข์ สิ่งที่น่าสนใจก็คือ อริยสัจข้อที่ ๔ แทนที่จะเป็นสาเหตุแห่งความไม่ทุกข์ ตรงข้ามกับอริยสัจข้อที่ ๒ พระพุทธองค์กลับพูดถึงการสร้างเหตุปัจจัยแห่งความไม่ทุกข์ คืออริยมรรคมีองค์ ๘ คำถามคือทำไมพระพุทธองค์ไม่ยกเอาสาเหตุแห่งความไม่ทุกข์หรือสาเหตุแห่งนิโรธ มาเป็นอริยสัจข้อที่ ๔ คำตอบก็คือ เพราะมันเฉลยอยู่ในตัวแล้วจากสมุทัย สมุทัยคือสาเหตุแห่งความทุกข์ เมื่อเห็นสาเหตุแห่งทุกข์ มันก็บอกในตัวว่าแล้วว่า สาเหตุแห่งความไม่ทุกข์คืออะไร คือสิ่งที่ตรงข้ามกับสาเหตุแห่งทุกข์นั้นเอง กล่าวคือ เมื่อรู้ว่าทุกข์เพราะโลภ โกรธ หลง ฉะนั้น ถ้าไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง ก็ไม่ทุกข์ ดังนั้น อริยสัจข้อที่ ๔ พระพุทธเจ้าจึงไม่ได้พูดถึงสาเหตุแห่งความไม่ทุกข์หรือสาเหตุแห่งนิโรธ แต่พูดไปถึงวิธีการที่จะทำให้สาเหตุแห่งนิโรธนั้นเกิดขึ้นได้ นั่นคืออริยมรรคมีองค์ ๘
ฉะนั้น ที่หลวงพ่อพูดอยู่เสมอว่าในทุกข์มีความไม่ทุกข์จึงมีความสำคัญมาก มันเป็นการเชื้อเชิญให้เรามองความทุกข์ ไม่ใช่กำจัดทุกข์ ซึ่งตรงกับที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าทุกข์ไม่ใช่สิ่งที่ต้องละ ทุกข์เป็นสิ่งที่ต้องกำหนดรู้ กำหนดรู้ ในที่นี้ท่านใช้คำว่า “ปริญญา” ปริญญาก็คือการรู้รอบ รู้รอบได้ก็เพราะเห็นความจริง เมื่อเห็นความจริงก็เกิดปัญญา
เวลาเรามีความทุกข์ใจ อย่าคิดแต่จะกำจัดมันตะพึดตะพือ ให้ลองกลับมาดูหรือมองมันบ้าง เราก็จะเห็นมัน และเห็นไปถึงรากเหง้าหรือสาเหตุของมัน เมื่อเรามีความโกรธอย่าคิดแต่จะกดข่มมันเอาไว้ ลองมองดูความโกรธก็จะเห็นความไม่โกรธอยู่ด้วยกัน ความโกรธกับความไม่โกรธ ความทุกข์กับความไม่ทุกข์ ความหลงกับความไม่หลง เหมือนกับทุเรียนที่มีหนามแหลมแต่มีเม็ดอร่อยอยู่ข้างใน อย่างแรกที่เราควรทำเมื่อได้ทุเรียนมาก็คือ อย่าทิ้งหรือกำจัดมัน ใครที่ได้ทุเรียนแล้วทิ้งมันไปเพราะเห็นว่าหนามมันแหลม ทิ่มมือทิ่มตัว ทำให้เจ็บ อย่างนี้เรียกว่าไม่ฉลาด คนฉลาดจะไม่ทิ้งทุเรียน แต่จะเอามันมาเฉาะ ทะลวงเปลือกที่หนาและคม ในที่สุดก็จะได้เม็ดที่อร่อย ของอร่อยซ่อนอยู่ในผลไม้ที่มีหนามแหลมฉันใด ธรรมก็ซ่อนอยู่ในทุกข์ฉันนั้น ทุกข์ไม่ใช่สิ่งที่ต้องละหรือกำจัด เช่นเดียวกับทุเรียนแม้จะมีเปลือกคมอย่างไรก็ไม่ใช่สิ่งที่ต้องทิ้ง ไม่ใช่สิ่งที่ต้องกำจัด
การที่หลวงพ่อพูดว่าเปลี่ยนทุกข์ให้กลายเป็นความไม่ทุกข์ เปลี่ยนโกรธให้กลายเป็นความไม่โกรธ เปลี่ยนหลงให้กลายเป็นความไม่หลง เป็นการบอกเป็นนัยว่าทุกข์และความไม่ทุกข์ไม่ได้อยู่ตรงข้ามกันแบบที่เรียก ว่าอยู่คนละขั้วหรืออยู่คนละที่ อาจเปรียบได้กับหน้ามือกับหลังมือที่อยู่ด้วยกันตลอดเวลา ความจริงสิ่งทั้งปวงที่ดูเหมือนตรงข้ามกันก็เป็นอย่างนั้น พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ความแก่มีอยู่ในความเป็นหนุ่มสาว ความเจ็บไข้มีอยู่ในความไม่มีโรค ความตายก็มีอยู่ในชีวิต” ขาวกับดำ มืดกับสว่างก็อยู่ด้วยกัน อาศัยกัน เงาเกิดขึ้นได้ก็เพราะมีแสงหรือความสว่าง ดังพระพุทธเจ้าตรัสว่า “แสงสว่างต้องอาศัยความมืดจึงปรากฏ ความงามต้องอาศัยความไม่งามจึงปรากฏ” ขณะเดียวกันในความมืดก็มีความสว่างอยู่ เวลากลางคืนเรานึกว่าไม่มีแสง แต่ที่จริงมันมีความสว่างอยู่ หนูและสัตว์ต่าง ๆ จึงหากินได้สบายในเวลากลางคืน
ทุกข์กับความไม่ทุกข์อยู่ด้วยกัน เปรียบได้เหมือนกับหน้ามือกับหลังมือ ถ้าเรากำจัดหน้ามือ หลังมือก็หายไปด้วย ถ้าเรากำจัดทุกข์เราก็ไม่พบความไม่ทุกข์ คือไม่พบธรรมะ สิ่งที่เราควรทำก็คือเพียงแต่พลิกเปลี่ยนมันเท่านั้นเอง เปลี่ยนทุกข์ให้กลายเป็นไม่ทุกข์ก็คงไม่ต่างจากพลิกหน้ามือให้กลายเป็นหลัง มือ หรือการพลิกหลังมือให้กลายเป็นหน้ามือ อันนี้เป็นการย้ำให้เราตระหนักว่าทุกข์ไม่ใช่สิ่งที่ต้องทำลาย เราเพียงแต่เปลี่ยนมัน เหมือนกับที่เราเปลี่ยนแป้งให้กลายเป็นขนมปัง ถ้าเราทิ้งแป้งลงถังขยะเราก็อดกินขนมปัง หรือเปลี่ยนข้าวสารให้เป็นข้าวสุก ถ้าเราทิ้งข้าวสารเราก็อดกินข้าวสุก แต่เราจะเปลี่ยนข้าวสารให้กลายเป็นข้าวสุกได้ก็ต้องอาศัยความร้อน ในทำนองเดียวกันความทุกข์จะกลายเป็นความไม่ทุกข์ก็ต้องอาศัยสติและปัญญา
ตัวอย่างที่ชัดเจนกว่านั้นก็คือขยะกับดอกไม้ สองอย่างนี้มีความเกี่ยวเนื่องกันมาก ขยะสามารถกลายเป็นดอกไม้ได้ ถ้าเราอยากได้ดอกไม้ เราก็ต้องพึ่งขยะ คือรู้จักเปลี่ยนขยะให้กลายเป็นดอกไม้ ขยะนั้นสามารถช่วยให้ดอกไม้เจริญงอกงามได้ เช่นเดียวกับทุกข์ก็ทำให้ธรรมเจริญงอกงาม จนเข้าถึงความไม่ทุกข์ได้
เราจะเปลี่ยนทุกข์ให้กลายเป็นไม่ทุกข์ก็ต้องมีสติ ต้องมีความรู้สึกตัว สติและความรู้สึกตัวช่วยให้ความทุกข์เปลี่ยนเป็นความไม่ทุกข์ ทำให้ความโกรธเปลี่ยนเป็นความไม่โกรธได้ ถ้าไม่มีความรู้สึกตัว ไม่มีความรู้ตัว หรือสติแล้ว โกรธก็ยังเป็นโกรธอยู่ ทุกข์ก็ยังเป็นทุกข์อยู่ อันนี้มีนัยยะที่สำคัญมาก หลวงพ่อชี้ชวนให้เรารู้จักใช้ประโยชน์จากทุกข์ จากความโกรธ จากความหลง แทนที่จะมองมันว่าเป็นของเลวร้ายที่ต้องกำจัด ที่ต้องทำลาย ท่านจึงพูดว่า “ความทุกข์ทำให้ไม่ทุกข์ ความโกรธทำให้ไม่โกรธ ความหลงทำให้ไม่หลง”
อันนี้เป็นคำสอนที่แตกต่างจากครูบาอาจารย์หลายท่าน ที่ท่านพูดเช่นนี้ก็เพื่อไม่ให้เรารู้สึกลบต่อความทุกข์ ต่อความโกรธ ต่อความหลง เพราะถ้ารู้สึกลบแล้วการวางใจเป็นกลางหรือว่า “รู้ซื่อๆ” ย่อมเกิดขึ้นไม่ได้ รู้ซื่อๆ หรือการมองด้วยใจเป็นกลาง เกิดขึ้นได้เพราะไม่มีความชัง ไม่มีความรู้สึกลบ ไม่มีความรู้สึกผลักไสต่อทุกข์ ต่อความโกรธ ต่อความหลง ตลอดจนกิเลสตัวอื่นๆ ท่านสอนว่าอย่าชังหรือกดข่มมัน เมื่อเจอมัน ก็อย่ากลัวหรือหนีมัน แต่เผชิญกับมัน ดูมัน และใช้มันให้เป็นประโยชน์ เปลี่ยนทุกข์ให้กลายเป็นความไม่ทุกข์ เหมือนกับที่เราเจอขยะแล้วแทนที่จะทิ้ง เราเอามาทำเป็นปุ๋ยจนเกิดดอกไม้ขึ้น ทุกข์ก็เป็นปุ๋ยที่ทำให้เกิดธรรมแจ่มแจ้งในใจของเรา
สาระตรงนี้สำคัญมากที่อาตมาอยากจะให้พวกเราพินิจพิจารณา มันเป็นเอกลักษณ์ของหลวงพ่อทีเดียว “ความทุกข์ทำให้ไม่ทุกข์ ความโกรธทำให้ไม่โกรธ ความหลงทำให้ไม่หลง” เวลาเราปฏิบัติเราจะหลงอยู่บ่อยๆ แต่การหลงบ่อยๆ นั่นแหละจะช่วยทำให้เรารู้บ่อยขึ้นๆ ถ้าเราหมั่นดู เวลาเจอความหลงบ่อยๆ เราจะรู้ชัดขึ้นเรื่อย ๆ ว่าความหลงหน้าตาเป็นอย่างไร อาการเป็นเป็นอย่างไร เวลามีความโกรธเกิดขึ้นแล้วเราดูมันบ่อยๆ เราก็จะเห็นหน้าค่าตามันชัดขึ้น จำได้ดีขึ้นว่า ความโกรธเป็นอย่างนี้ มีอาการอย่างนี้ ความทุกข์มีหน้าตาอย่างนี้ ทำให้ใจมีอาการแบบนี้ คือ ร้อนบ้าง รู้สึกถูกบีบคั้นบ้าง รู้สึกถูกเสียดแทงบ้าง หรือว่าหนักอึ้งบ้าง การที่เราเจอมันบ่อย ๆ ทำให้เราจำมันได้แม่น ดังนั้นเมื่อมันเกิดขึ้นอีก เราก็จะไม่หลงเชื่อตามมันง่าย ๆ เหมือนกับคนที่มาหลอกเอาเงินเรา แล้วเราก็เชื่อ ให้เงินเขาไป เขาหลอกเราทีแรก เราก็เชื่อ มาหลอกอีกเราก็เชื่อ ยอมให้เขาหลอก ไม่จดไม่จำเสียที แต่หลังจากที่เขาหลอกเราหลายครั้งๆ เราก็เริ่มจำได้ว่าหมอนี่วางใจไม่ได้ เชื่อถือไม่ได้ ครั้งต่อไปพอเขามาหลอกอีก เราก็ไม่หลงเชื่อแล้ว เพราะรู้ว่าเป็นคนไม่ซื่อ
กี่ครั้งที่ความโกรธมันหลอกให้เราทุกข์ ความหลงมันหลอกให้เราทุกข์ ทั้งนี้ก็เพราะเราไม่รู้จักมัน เพราะเราจำมันไม่ได้ จำลักษณะอาการของมันไม่ได้ แต่เมื่อเจอมันบ่อย ๆ เห็นมันบ่อย ๆ เราก็จำลักษณะอาการของมันได้ ภาษาบาลีเรียกว่า ถิรสัญญา เมื่อเราจำได้ พอมันมาอีก เราก็ไม่เชื่อมัน ไม่คล้อยตามมัน ไม่หลงตามมันอีกต่อไป อาจเชื่อประเดี๋ยวประด๋าว สักพักก็จำได้ แล้วถอยออกมา สลัดมันทิ้ง ทำให้ใจเราเป็นอิสระ ใจกลับมาเป็นปกติ ฉะนั้นจึงอย่ากังวลเวลาปฏิบัติแล้วเกิดความฟุ้งหรือเกิดความหลง หลายคนเป็นทุกข์ว่าทำไมฟุ้งเยอะเหลือเกิน ทำไมหลงเยอะเหลือเกิน ให้รู้ว่านั่นเป็นสิ่งดีที่จะช่วยทำให้ใจเราเป็นอิสระจากความฟุ้งความหลงได้ เพราะจะจำลักษณะอาการของมันได้แล้วก็จะไม่หลงเชื่อมันต่อไป ถึงแม้จะเผลอใจ ถูกมันหลอกไป แต่แล้วก็จะจำมันได้ รู้ตัวขึ้นมา ก็สลัดมันทิ้ง แต่ก่อนฟุ้งเป็นวรรคเป็นเวร คิดไปเจ็ดแปดเรื่องแล้วถึงจะรู้ตัว ตอนหลังแค่เผลอคิดเรื่องเดียว ไม่ทันจบ ก็รู้ตัว ไม่คล้อยตามมันต่อไป ใจกลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว กลับมาอยู่กับปัจจุบัน
เห็นได้ว่าความโกรธ ความฟุ้ง ก็มีประโยชน์ เจอมันบ่อย ๆ ก็ทำให้เราไม่โกรธ ไม่ฟุ้งง่าย ๆ อีกต่อไป ถ้าเห็นอย่างนี้ก็จะเข้าใจว่าทำไมหลวงพ่อจึงบอกว่า “ความทุกข์ทำให้ไม่ทุกข์ ความโกรธทำให้ไม่โกรธ ความหลงทำให้ไม่หลง”
ทุกข์กับความไม่ทุกข์นั้นอยู่ด้วยกัน ความโกรธกับความไม่โกรธอยู่ด้วยกัน ความหลงกับความไม่หลงอยู่ด้วยกัน เหมือนกับสวิทช์ไฟ สวิทช์ที่ทำให้มืดกับสว่างก็เป็นสวิทช์ตัวเดียวกัน สวิทช์ที่ทำให้เกิดความมืด กับสวิทช์ที่ทำให้เกิดความสว่าง ไม่ใช่คนละตัวกัน มันเป็นตัวเดียวกัน ในทำนองเดียวกัน รูกุญแจที่ขังเราเอาไว้ กับรูกุญแจที่ทำให้เราเป็นอิสระ ก็เป็นรูเดียวกัน ไม่ใช่คนละรูกัน
ตรงที่วางรองเท้าข้างหอไตร เราจะเห็นภาพหยินหยางอยู่ด้านหลัง สัญลักษณ์นี้สะท้อนความจริงที่พูดมาทั้งหมดได้เป็นอย่างดี ในสัญลักษณ์นี้ดำกับขาวอยู่ด้วยกัน เช่นเดียวกับทุกข์กับความไม่ทุกข์อยู่ด้วยกัน มันบอกเราว่า สิ่งที่ดูเหมือนตรงข้ามกันนั้นแท้จริงอยู่ด้วยกัน เหมือนหน้ามือกับหลังมือ ใช่แต่เท่านั้นมันยังอยู่ในกันและกัน แสดงให้เห็นจากสัญลักษณ์นี้ ที่ขาวอยู่ในดำ และดำอยู่ในขาว เหมือนกับที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ความแก่มีอยู่ในความเป็นหนุ่มสาว ความเจ็บไข้มีอยู่ในความไม่มีโรค ความตายก็มีอยู่ในชีวิต” สั้นอยู่ในยาว และยาวก็อยู่ในสั้น ไม้บรรทัดนั้นสั้นเมื่อเทียบกับไม้เมตร แต่ยาวเมื่อเปรียบกับดินสอ ในทำนองเดียวกัน ในทุกข์มีความไม่ทุกข์ ในโกรธมีความไม่โกรธ ในหลงมีความไม่หลง
สัญลักษณ์หยินหยางยังมีอีกแง่หนึ่งที่น่าพิจารณาก็คือ ส่วนหัวของสีขาว คือหางของสีดำ และส่วนหัวของดำคือหางของสีขาว หมายความว่า ขาวนั้นเปลี่ยนเป็นดำ และดำเปลี่ยนเป็นขาวได้ ทำนองเดียวกันทุกข์ก็เปลี่ยนเป็นความไม่ทุกข์ได้ โกรธก็เปลี่ยนเป็นความไม่โกรธได้ หลงก็เปลี่ยนเป็นความไม่หลงได้
ที่หลวงพ่อพูดมาว่า “ในทุกข์มีความไม่ทุกข์ ในโกรธมีความไม่โกรธ ในหลงมีความไม่หลง เปลี่ยนทุกข์ให้กลายเป็นความไม่ทุกข์ เปลี่ยนโกรธให้กลายเป็นความไม่โกรธ เปลี่ยนหลงให้กลายเป็นความไม่หลง ความทุกข์ทำให้ไม่ทุกข์ ความโกรธทำให้ไม่โกรธ ความหลงทำให้ไม่หลง” ทั้งหมดนี้แสดงอยู่ในสัญลักษณ์หยินหยางอย่างชัดเจน
ถ้าเราพิจารณาดูให้ดี มันจะเป็นประโยชน์ในการปฏิบัติธรรมมาก มันไม่ใช่แค่เรื่องปรัชญาสำหรับการครุ่นคิด แต่ยังเป็นประโยชน์สำหรับการปฏิบัติอีกด้วย อันนี้เองคือเหตุผลที่หลวงพ่อพูดทำนองนี้อยู่บ่อยๆ ข้อความเหล่านี้ไม่ใช่เป็นแค่สำนวนหรือพูดให้ดูหรู แต่มันมีนัยยะสำหรับการปฏิบัติให้ถูกต้องเพื่อความพ้นทุกข์ ถ้าเราไม่เข้าใจเราก็อาจจะปฏิบัติผิดพลาดได้ แต่ถ้าเราเข้าใจ ก็จะช่วยให้เราปฏิบัติอย่างถูกทิศถูกทางมากขึ้น
.........
พระไพศาล วิสาโล
แสดงธรรม ณ วัดป่าสุคะโต ๕ กันยายน ๒๕๕๗
แสดงธรรม ณ วัดป่าสุคะโต ๕ กันยายน ๒๕๕๗
ผมไปได้ทุกที่ ขอเพียงแต่ต้องไปข้างหน้า
I'll go anywhere as long as it's forward.
I'll go anywhere as long as it's forward.
ดร.ลิฟวิ่งสโตน
ความใฝ่ฝัน ไม่เคยหยุดยั้ง
Ambition never comes to an end.
โยชิดะ เคนโกะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น